ลู่เจี้ย ลู่เจี้ย!
เจียงหลีเจ็บแปลบในใจ เขาวางแผนจัดการทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว
หรือเขาจะรู้ว่าที่วิทยาเขตซีเฉียนมีวิญญาณยุทธ์ถึงได้ให้ข้ามาที่นี่ เจียงหลีเริ่มคิดฟุ้งซ่าน
“ท่านอาจารย์เฟิง” เฟิงสิงอวิ๋นหันมามองนางยิ้มๆ
เจียงหลีเอ่ยอย่างจริงจัง “โปรดขยายความด้วยเจ้าค่ะ”
เฟิงสิงอวิ๋นแย้มยิ้มขว้างพัดในมือหมุนคว้างกลางอากาศ เกิดลำแสงจากพัดส่องลงมาปกคลุมไปทั่วร่างทั้งสอง
เจียงหลีมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
เฟิงสิงอวิ๋นเอ่ยยิ้ม “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ในที่นี่นอกจากสหายของเจ้าคนนั้นแล้ว คนอื่นก็มิสามารถได้ยินในสิ่งที่เจ้าและข้าคุยกันได้”
คำพูดของเขาทำให้เจียงหลีนึกขึ้นได้แล้วหันไปมองทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยิ้มให้นางเล็กน้อย
เมื่อถอนสายตากลับมา เจียงหลีจึงหันมามองเฟิงสิงอวิ๋น “ที่ท่านอาจารย์เฟิงกล่าวไปเมื่อครู่ เกี่ยวข้องกับลู่เจี้ยทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ ข้าอยากทราบรายละเอียด”
“รายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องกับตระกูลลู่ นายน้อยลู่เคยมาพบพี่ใหญ่ของข้าเป็นการส่วนตัว ทั้งสองพูดคุยอยู่นานสองนาน หลังจากที่นายน้อยลู่กลับไปแล้ว พี่ใหญ่ก็จัดการให้เจ้ามาที่ซีเฉียน เรื่องวิญญาณยุทธ์ในวิทยาเขตซีเฉียนก็เป็นพี่ใหญ่ที่ส่งให้ข้ามา สั่งให้ข้าช่วยเจ้าเอามันมาให้ได้ ดูเหมือนนี่คงจะเป็นประสงค์ของนายน้อยลู่ แต่ทว่า ก็ต้องอาศัยความพยายามของเจ้าเองที่สร้างผลงานได้เยี่ยงนี้ มิฉะนั้นวันนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เปิดปากทำภารกิจที่พี่ใหญ่สั่งมาให้สำเร็จลุล่วง เกรงว่าจะต้องเปลืองสมองอีก” เฟิงสิงอวิ๋นค่อยๆ อธิบาย
ที่แท้ ลู่เจี้ยก็เป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดนี่เอง เจียงหลีนึกได้ว่ามีครั้งหนึ่งนางเคยถามลู่เจี้ยว่าตัวเองควรหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามเป็นอะไรดี ลู่เจี้ยเคยบอกว่าต้องหลอมรวมสายช่วยเหลือ หรือว่าอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น เขาจึงได้แอบวางแผนทั้งหมดอย่างเงียบๆ ใช่ไหม
หากเป็นเช่นนั้น ระหว่างเขากับท่านอาจารย์หนานตกลงอะไรกันเอาไว้ถึงสามารถทำให้หนานอู๋เฮิ่นลงแรงช่วยเหลือถึงเพียงนี้
ถามลู่เจี้ยคงไม่ได้ความแน่ ทางเดียวก็คือต้องเจอหนานอู๋เฮิ่นอีกครั้ง ไม่แน่อาจจะได้ความจากเขาสักอย่างสองอย่าง
เจียงหลีนึกเงียบๆ ในใจ
“ท่านอาจารย์เฟิง วิญญาณยุทธ์ล้ำค่าที่ซ่อนตัวอยู่ในวิทยาเขตซีเฉียน ตกลงแล้วมันคือตัวอะไร” เจียงหลีถามในสิ่งที่ทำให้นางสงสัยออกมา
เฟิงสิงอวิ๋นกลับทิ้งเป็นปริศนาต่อไป “รอเวลาเจ้าสามารถหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามได้ก่อน เจ้าก็จะรู้เอง”
“…” เจียงหลีนิ่ง
หลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง นางก็หยิบเอาดอกไม้พิศวงที่เด็ดมาจากร่างมังกรไฟแล้วเอ่ยถาม “แล้วท่านอาจารย์เฟิงพอจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร”
“ดอกปราณมังกร!” ทันทีที่เฟิงสิงอวิ๋นเห็นดอกไม้แปลกประหลาดนั่นก็ตกใจเผลออุทานเรียกชื่อของมัน
“ดอกปราณมังกร?” เจียงหลีพึมพำ
เฟิงสิงอวิ๋นส่ายหน้าทอดถอนใจแล้วเอ่ยยิ้ม “ไม่อาจไม่กล่าวว่าเด็กน้อยอย่างเจ้านั้นโชคดีจริงๆ แม้กระทั่งดอกปราณมังกรเจ้าก็ได้มาครอบครอง”
“เจ้าดอกนี้ใช้ทำอะไรได้เจ้าคะ” เจียงหลีถามด้วยสายตาเป็นประกาย
“ดอกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยลมปราณมังกรมาพร้อมกับลมหายใจมังกร ตอนเจ้าฝึกบำเพ็ญค่อยๆ ดูดซับจะสามารถช่วยเจ้าให้เจ้าฝึกได้นานขึ้น ช่วยเจ้าบรรลุระดับขั้น อีกทั้งสามารถนำพลังมังกรเข้าร่วมการประลองได้ด้วย” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นพูดจบก็ถามกลับไปประโยคหนึ่ง “ดอกนี้ เจ้าได้มาจากมังกรประเภทไหน”
“มังกรไฟ” เจียงหลีตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ฮ่าๆๆๆ!” เฟิงสิงอวิ๋นหัวเราร่วน หลังจากหัวเราะเสร็จก็เอ่ยขึ้น “มังกรไฟเป็นมังกรที่มีความดุดันที่สุด พลังมังกรของมันแฝงไปด้วยอำนาจ แต่ก็เหมาะสมกับเจ้าดี”
เจียงหลียิ้มเจือจางแล้วเก็บดอกปราณมังกรเอาไว้
“เอาล่ะ เจ้าก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักเถอะ” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นเห็นว่าเจียงหลีหมดคำถามแล้วก็เก็บพัดกลับคืนมา จากนั้นจึงเหาะจากไป
ขณะนั้นเองที่นางพบว่าตอนคุยกับเฟิงสิงอวิ๋น ผู้คนก็ออกไปไม่น้อยแล้ว
แม้กระทั่งเฉียนจวิ้นกับโจวยวนก็ไม่รู้ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เจียงหลีกระโดดลงมาจากแท่นสูง รีบเดินไปยืนข้างมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ พวกเรากลับราชวงศ์
จยาเซียนกันเถอะ” นางอยากไปหาลู่เจี้ยเพื่อบอกลู่เจี้ยว่าเขาจะไม่ตายแล้ว!
“ไม่ต้อง” มู่ชิงเกอรั้งนางเอาไว้
เจียงหลีไม่เข้าใจจึงมองนางอย่างสงสัย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์