เฟิงสิงอวิ๋นเดินจากไปและยังคงหล่อเหลาไม่สร่าง
คนในเป่ยย่วนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับเจียงหลี อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไปในคืนนั้นเจียงหลีก็นิ่งสงบลง
บางคนอยากรู้อยากเห็นและอยากขยับเข้าไปดูใกล้ๆ
พบว่านอกลานบ้านของนางกลับมีฝ่ายยุติธรรมผลัดกันเฝ้าเวรยามและไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดดังกล่าวก่อให้เกิดข้อถกเถียงรุนแรงในสถาบันไป๋หยวนอยู่พักหนึ่ง
ณ หนานย่วน ภายในห้องพักของเฉียนจวิ้น
ชายคนหนึ่งโค้งคำนับและรายงานต่อเข้า “องค์ชายรอง เมื่อพวกเราเริ่มเข้าใกล้บ้านพักของเจียงหลี ก็ถูกฝ่ายยุติธรรมพบเข้าและไล่กลับทันที ท่านหัวหน้าเจียงซย่าถึงกับออกคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้เจียงหลีในระยะน้อยกว่าสามจั้ง จะถูกลงโทษโบยหนึ่งร้อยทีโดยฝ่ายยุติธรรม บัดนี้ ที่พักของนางกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของสถาบันไปแล้ว
เฉียนจวิ้นฟังรายงานด้วยสีหน้าเศร้าหมองและโมโหนจนปัดถ้วยน้ำชาลงกับพื้น
น้ำชาที่กระเซ็นไปทั่วสารทิศ สาดใส่มุมเสื้อผ้าของชายคนนั้นเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็มิบังอาจส่งเสียงและได้แต่ก้มศีรษะให้ต่ำลง
“เจียงหลีคนเดียวสำคัญกับสถาบันมากถึงเพียงนี้เชียวรึ!” เฉียนจวิ้นพูดด้วยความโมโห
เดือนที่แล้ว ในงานเลี้ยงราชสำนักเขารู้สึกอับอายมากและยังไม่ทันได้แก้แค้นเจียงหลี นางกลับได้รับคุ้มครองจากสถาบันไปเสียแล้ว
มันทำให้ไฟในใจของเขาไม่มีทางปลดปล่อยออกไปได้
ซึ่งแม้แต่ความก้าวหน้าของการฝึกฝนก็ได้รับผลกระทบ
“เจียวหลีซ่อนตัวโดยไม่ยอมออกมา แล้วเจียงเฮ่ากับและลู่เสวียนล่ะ” เฉียนจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นอย่างดุดัน
ชายคนนั้นกระซิบ “เมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนว่าลู่เสวียนพบโอกาสประสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สองได้แล้ว และทั้งสองเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่ด้วยกันขอรับ”
“ฮึ!”
เฉียนจวิ้นทุบโต๊ะอย่างแรง
เจียงหลีซ่อนตัว ลู่เสวียนและเจียงเฮ่าเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่อีกครั้ง ขณะที่เขาแม้แต่เป้าหมายในการแก้แค้นยังหาไม่เจอ!
“ออกไป! ไสหัวออกไป!” เฉียนจวิ้นตะโกน
ชายคนนั้นรีบถอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับได้รับการอภัยโทษ
เพียงแต่ หลังจากเขาออกไปได้ไม่นาน โจวยวนก็ผลักประตูเดินเข้ามาและมองเห็นใบหน้าอันหม่นหมองของเฉียนจวิ้น นางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายกำลังโมโหอยู่หรือ”
เฉียนจวิ้นชำเมืองมองด้วยสายตาที่เศร้าหมองและไม่ได้พูดอะไร
โจวยวนยิ้มหวานและเดินไปที่ด้านหลังของเขาแล้วบีบไหล่เขาเบาๆ “องค์ชาย ไม่ว่าเจียงหลี หรือใครก็ตาม ล้วนอยู่ในสถาบันไป๋หยวนแห่งนี้กันทั้งนั้น ยังไงพวกเขาก็ต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน ยวนเอ๋อร์คิดว่าคนที่องค์ชายควรระวังคือองค์รัชทายาทนะเพค”
แสงอันแหลมคมสว่างวาบในดวงตาของเฉียนจวิ้นและเขาก็พูดอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาทเป็นอะไรหรือ”
โจวยวนถอนหายใจ “ยวนเอ๋อร์เสียดายแทนองค์ชาย องค์ชายเป็นโอรสที่รักยิ่งของฝ่าบาท องค์ชายควรเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมกุฎราชกุมาร แต่เพียงเพราะองค์รัชทายาทเกิดจากชายาเอก จึงได้ครอบครองตำแหน่งนั้นไป องค์ชาย องค์รัชทายาทมองว่าท่านเป็นหนามทิ่มแทงตา วันนี้ ยังจะทำลายแผนการขององค์ชายอีก ท่านยังทนได้อยู่หรือเพคะ”
ดวงตาของเฉียนจวิ้นหรี่ลง “ใช่ เขาเป็นศัตรูกับข้าตลอดเวลา!”
“ใช่! จริงๆ แล้วองค์รัชทายาทเป็นศัตรูตัวฉกาจของท่านต่างหาก หากกำจัดองค์รัชทายาทได้แล้ว ท่านก็คือฮ่องเต้คนใหม่แห่งอาณาจักรซีเฉียน ถึงตอนนั้น ท่านจะฆ่าเจียงหลีให้ตายกี่คนก็ย่อมได้” ในแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของโจวยวนนั้น กลับปรากฏความเย็นเยือกขึ้นทันที
นางคิดถี่ถ้วนแล้ว! นางต้องพึ่งพาเฉียนจวิ้นและช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์ และเมื่อซีเฉียนอยู่ในกำมือ นางถึงจะมีโอกาสที่จะฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นได้ ซึ่งนางจะไม่เพียงเข่นฆ่าศัตรูเหล่านั้น แต่จะทำลายอาณาจักรจยาเซียนด้วย!
เฉียนจวิ้นกระหายในบัลลังก์มานานมากแล้ว นางเพียงแค่ต้องประโคมเปลวไฟอยู่ข้างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเร่งให้เหตุการณ์เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากเฉียนจวิ้นด้วย! เมื่อถึงเวลานั้น นางก็จะสามารถชำระแค้นครั้งใหญ่ได้สำเร็จ!
โจวยวนนวดไหล่ให้กับเฉียนจวิ้นอย่างใจเย็น และดวงตาเปล่งประกายความตื่นเต้น
“อืม ช่วงนี้พี่ใหญ่เคลื่อนไหวมากเกินไปแล้ว” เฉียนจวิ้นแสยะยิ้ม ราวกับว่าในที่สุดเขาก็พบเป้าหมายที่จะระบายความโกรธแค้นได้แล้ว
“ยวนเอ๋อร์” เขายื่นมือออกไปกุมมือของโจวยวนบนไหล่และดึงนางไว้ตรงหน้า แล้วบีบนวดมือเล็กๆ ที่นุ่มและไร้กระดูกของนาง จากนั้นดวงตาก็มืดมิดลง “เจ้าช่างเป็นผู้ช่วยที่ดีของข้าจริงๆ”
โจวยวนอดกลั้นความรู้สึกรังเกียจนั้นไว้ ยิ้มสู้ต่อไปและพูดด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้ม “ขอเพียงแค่องค์ชายมีความสุข ยวนเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”
…

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์