แส้ยาวในมือของเจียงหลีว่องไวราวกับงูเลื้อยไปมาท่ามกลางกองทัพอินชุ่ย นางถือแส้ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหลอมรวมกับกรงเล็บเลี่ยเทียนซื่อคุ้มกันและสกัดกั้นทหารนับพันอยู่ด้านล้างหน้าผาเพียงผู้เดียว
เหวินเหรินชิ่งชิ่งจ้องเงาร่างของนางด้วยสายตาเร่าร้อน
ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่นางโหยหาตลอด!
“เร็วเข้า!” ลู่เสวียนเคยเห็นความเก่งกาจของเจียงหลีไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตกตะลึงเหมือนเหวินเหรินชิ่งชิ่งขนาดนั้น
เพี๊ยะ!
แส้ยาวถูกฟาดออกไปอีกครั้งและโจมตีอินซุ่ยที่รายล้อมจนกระเด็นเซ่นซ่าน เจียงหลีรีบถอยไปยังหน้าผาอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าเชือกเอาไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ยังหวดแส้ “ถอยไป!”
แฮร่ๆ!
อินซุ่ยถูกนางหวดจนร่นถอยไป ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งจึงออกแรงดึงเชือกรีบดึงเจียงหลีให้ขึ้นมาอยู่บนสะพานขาดนั้นด้วยกัน
เมื่อสองขาถึงพื้น แส้ในมือของเจียงหลีก็กลายร่างเป็นกำไลสวมข้อมือนางซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น ล่างเหวลึกยังคงได้ยินเสียงร้องคำรามของอินซุ่ยดังขึ้นมาไม่ขาดสาย เพียงแต่ว่าตรงนี้สูงเกินไป แม้พวกมันพยายามจะปีนป่ายกระโดดขึ้นมายังไม่สามารถเข้าใกล้ทั้งสามคนบนสะพานขาดได้
“เจ้าเป็นใครกันแน่” แววตาตกตะลึงของเหวินเหรินชิ่งชิ่งปราดมองตั้งแต่ข้อมือของเจียงหลีจรดใบหน้าของนาง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าดวงตาสดใสบนใบหน้าดูธรรมดานี้ช่างมีเอกลักษณ์โดดเด่น
การกระทำของเจียงหลีเมื่อครู่นี้ทำให้นางไม่เชื่ออีกว่านางจะเป็นเพียงนางกำนัลรับใช้ที่ตามประกบลู่เสวียนเท่านั้น
“ข้าเป็นคนดี” เจียงหลีกระหยิ่มยิ้ม นางไม่มีทางเผยตัวตนง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้
“…” เหวินเหรินชิ่งชิ่งเบะปาก นี่มันคำตอบอะไรกัน
“รีบไปกันเถอะ อินซุ่ยพวกนี้คุ้มกันอยู่ที่นี่ หรือพวกเจ้าอยากจะสู้กับมันอีกล่ะ” ลู่เสวียนยืนขึ้นเบียดตรงกลางระหว่างสองคน ขัดจังหวะสายตาของพวกนางแล้วเอ่ยเร่งเร้า
เมื่อกล่าวถึงอินซุ่ย เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็มีสีหน้าขาวซีดอีกครั้งแล้วไม่เซ้าซี้ถามเกี่ยวกับสถานะที่แท้จริงของเจียงหลีอีก นางจึงบ่นขมุบขมิบ “ไปสิๆ”
ทั้งสามเดินเข้าสู่เส้นทางเดียวที่เหลืออยู่ แม้ข้างในจะแคบแต่ก็ยังสามารถรองรับทั้งสามคนได้ เมื่อเดินไกลออกไปเสียงคำรามของอินซุ่ยถึงจะค่อยๆ เงียบหายไป
“พวกมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดเลยหรือไม่” หลังจากลู่เสวียนมีสีหน้าผ่อนคลายลงก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
เหวินเหรินชิ่งชิ่งส่ายหน้าช้าๆ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้าเคยอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่ง หากอินซุ่ยไม่มีพลังของคนเป็นคอยไปกระตุ้นมันก็จะสงบลง แต่ข้าก็พึ่งเคยเจออินซุ่ยเป็นครั้งแรก ไม่รู้เป็นเช่นนี้จริงหรือเปล่า ข้าไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรพวกมันก็กระโดดขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว!” ลู่เสวียนยกมือขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า เขากลับคืนสู่สภาพสงบได้ตั้งนานแล้ว
ทุกสรรพสิ่งบนโลก ล้วนมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้จริง ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ เจียงหลีก็ลอบถอนหายใจ
ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด หากนางไม่ได้ฝึกฝนในสถาบันไป๋หยวน หรือไม่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงจากอำนาจราชสำนัก นอกจากอาณาเขตหลิงอู่ ยังมีสนามสอบของสถาบันไป๋หยวน นางยังไม่เคยได้สัมผัสกับประสบการณ์การผจญภัยเยี่ยงนี้อีกแล้ว
การกระตุ้นเยี่ยงนี้ทำให้เลือดในกายของนางเริ่มพลุ่งพล่าน
สำหรับดินแดนซีฮวงแล้วก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่ากันว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว้างใหญ่ดั่งผืนเมฆ แต่สำหรับโลกภายนอกที่ยิ่งกว้างใหญ่กว่านั้น นางเต็มไปด้วยความแสวงหามันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อีกไม่นาน เมื่อฝุ่นตกตะกอน ข้าก็จะสามารถเดินออกจากหนานฮวงไปยังโลกที่กว้างขึ้น เจียงหลีเอ่ยในใจ
ทั้งสามคนเดินอย่างระมัดระวังบนทางเดินอันยาวไกล
ด้วยกองทัพอินซุ่ยก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกสุสานโบราณแห่งนี้อีก ใครจะไปรู้ว่าข้างในมีอะไรกำลังรอคอยพวกเขาอยู่
“แผนผังของสุสานโบราณไม่ปรากฏบนแผนที่หรอกหรือ” ในสามคนนี้มีเพียงเจียงหลีคนเดียวที่ไม่เคยเห็นแผนที่มาก่อนจึงเอ่ยถาม
ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งส่ายหน้าพร้อมกัน เหวินเหรินชิ่งชิ่งเป็นฝ่ายตอบ “มีเพียงเส้นทางเข้าสุสานโบราณเท่านั้น สำหรับแผนผังของสุสานโบราณหรือขนาดใหญ่เท่าใดก็ไม่ได้บอกเอาไว้”
“เช่นนั้นพวกเราทำได้เพียงเสี่ยงดวงแล้วล่ะ” เจียงหลีแสยะยิ้ม
เดินไปสักพัก หนทางข้างหน้ายังคงคดเคี้ยวไม่เห็นปลายทาง แล้วก็ไม่มีกลไกใดๆ ในนั้น


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์