“ฆ่าข้าให้ตายเยี่ยงสุนัขอย่างนั้นหรือ” ประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาช่างเยือกเย็นเสียดเข้าไปถึงกระดูก
“ชิ่งชิ่ง!” ลู่เสวียนที่ยืนอยู่ข้างเจียงหลีเมื่อเห็นเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ตะโกนเรียกด้วยความตื่นตระหนก
เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองลู่เสวียนด้วยขอบตาอันร้อนผ่าวแล้วฝืนยิ้มตอบกลับไป “ข้าไม่เป็นไร เจ้าทึ่ม”
“พี่ใหญ่ ข้าจะถ่วงเขาเอาไว้ ท่านช่วยลู่เสวียนพาเหวินเหรินชิ่งชิ่งออกไปก่อน” เจียงหลีกระซิบกับเจียงเฮ่า
เจียงเฮ่าปราดตามองประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงแล้วส่ายหน้า “ข้าเอง เจ้าพาพวกเขาไปเถิด”
เจียงหลีเอ่ยค้าน “ไม่ ข้าจะต้องฆ่าเขาด้วยน้ำมือของข้าเอง!”
เจียงเฮ่าหรี่ตาแล้วเหลือบมองแววตาของประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงอีกครั้งซึ่งนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยแววอาฆาตเสียแล้ว เขารู้แค่ว่าผู้ที่ทำให้น้องสาวของเขาโกรธแค้นจะต้องเคยรังแกน้องสาวของเขาเป็นแน่
อย่างไรก็ตามเขามิอาจต่อต้านคำพูดของเจียงหลีได้ จึงทำได้เพียงเอ่ยถาม “มีความหวังว่าจะสำเร็จหรือไม่”
เจียงหลีพยักหน้าแน่นอน ครั้งเมื่อนางประทับฝ่ามือพลังปีศาจใส่ร่างของมู่เหยี่ยนฉือ นางยังเก็บพลังเอาไว้ในตอนท้าย เพราะนางไม่ได้มีเจตนาฆ่ามู่เหยี่ยนฉือ แต่สำหรับประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงแล้วนางไม่มีความปรานีใดๆ มอบให้
“ได้! ข้าจะรีบกลับมา” เจียงเฮ่าเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
“เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าก่อนนน!” หลายคนสื่อสารกันแต่ทว่าแทบจะอึดใจเดียว ประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงก็พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตเจียงหลีแล้ว
ตั้งแต่เจียงหลีปรากฏตัว สายตาของเขาก็ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากเจียงหลี
ความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับในช่วงเวลานี้ ในขณะที่เจียงหลี ‘ตายแล้วฟื้นคืนชีพ’ ออกมาปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งเพื่อย้ำเตือนเขาว่าใครเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้
เจียงหลีสบถเสียงเย็น เงาร่างกลายเป็นลำแสงทะยานไปข้างหน้า
ประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงรีบตามไป โดยที่ไม่ได้สนใจสามคนที่เหลือในห้องตั้งแต่แรก
ลู่เสวียนรีบวิ่งไปหาเหวินเหรินชิ่งชิ่งแล้วแก้มัดมือทั้งสองข้างของนาง
“ลู่เสวียน!” เหวินเหรินชิ่งชิ่งรีบโถมเข้าใส่อ้อมกอดของลู่เสวียนทั้งน้ำตา ขณะนี้ความหวาดกลัวในใจของนางถึงจะผ่อนคลายออกมา
“ไม่เป็นไรแล้ว! ไม่เป็นไรแล้วนะ! ไม่ต้องกลัวมีข้าอยู่ทั้งคน” ลู่เสวียนลูบหลังปลอบโยนนาง
เจียงเฮ่าเร่งเร้า “ตอนนี้มิใช่เวลาพูดพร่ำทำเพลง ข้าส่งพวกเจ้าออกไปจากที่นี่แล้วยังต้องรีบกลับมาอีก”
สองคนที่กำลังกอดกันกลมผละออกจากกันทันที เหวินเหรินชิ่งชิ่งเช็ดน้ำตาแล้วยืนขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “เพราะข้าเป็นตัวถ่วง”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า มันเป็นเพราะความชั่วช้าสามานย์ของคนพวกนี้ต่างหากเล่า” ลู่เสวียนพูดด้วยน้ำเสียงข้นแค้น
“ไป ออกไปจากที่นี่ แล้วไปหาที่ๆ ปลอดภัยซะ” เจียงเฮ่าพูดจบก็หันหลังและนำพวกเขาให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่อยู่ด้านหน้าคลำทางออกไปยังด้านหลัง
เป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากสำนักพรตเสวียนหมิงก่อน เจียงเฮ่าคิดพาสองคนนี้ไปส่งยังสถานที่ปลอดภัยกว่านี้แล้วค่อยกลับมาช่วยเจียงหลี
ประมุขสำนักคนนั้นเป็นถึงหลิงหวัง ให้เจียงหลีต่อสู้เพียงลำพังนั้นเขามิอาจวางใจได้
และในขณะนั้นเจียงหลีกับประมุขสำนักได้ลงมือต่อสู้แล้ว
วรยุทธ์ของประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงช่างร้ายกาจ ทุกครั้งที่เขาจิกกรงเล็บมักจะนำพาสายลมทมิฬพัดเข้ามาราวกับเสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณร้ายและเสียงหอนของหมาป่า
วิญญาณยุทธ์ที่เขาปลดปล่อยออกมาจากข้างหลังกลับไม่ใช่แสงสีทองธรรมดาแต่เป็นสีทองเข้ม ซึ่งมันแปลกประหลาดมาก
วิญญาณยุทธ์ทั้งห้าปรากฏขึ้นพร้อมกันซึ่งมันสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเจียงหลี
นางหลบไปข้างหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีแล้วปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ทั้งสี่ออกมาพร้อมกัน ด้วยรูปร่างสีทองประกายและสามารถขับไล่ความชั่วร้ายที่ประมุขสำนักพามาได้ภายในพริบตาเดียว
วิญญาณยุทธ์ระดับหนึ่งทั้งสี่ดวงปะทุขึ้นพร้อมกัน และกระแสลมที่น่าสะพรึงกลัวได้กวาดไปทั่วทั้งตำหนัก แสงสีทองเจิดจ้าทิ่มแทงดวงตาของประมุขสำนักพรตเสวียนหมิง
“ระดับหนึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าวิญญาณยุทธ์ทั้งสี่ล้วนเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับหนึ่ง ทั้งยังเป็นแบ่งเป็นสามประเภทแต่ฝึกฝนเช่นเดียวกันอีกด้วย!” เมื่อประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงเห็นวิญญาณยุทธ์ของเจียงหลีเป็นครั้งแรกก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์