เจียงหลีก็เช่นกัน นางรู้ว่าลู่เจี้ยเป็นคนนำนางออกมาจากลานต่อสู้ แต่ว่าจุดประสงค์นั้นคืออะไร แล้วการสนทนาเมื่อครู่นี้ เขาดูเหมือนมีความอยากรู้อยากเห็นกับความลับของตระกูลจียงมากยิ่งนัก โดยเฉพาะความลึกลับของมารดา ‘ร่างนี้’ แต่ว่ามารดาของนางได้เสียไป แล้วนางไม่รู้ความลับที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยจริงๆ
เช่นนั้น คุณค่าของนางอยู่ที่ไหนล่ะ
อย่างไรเสีย ก็ให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความลับของแม่เลย เจียงหลีนึกในใจ
อย่างไรก็ตาม ข้อคำถามของสองดูเหมือนว่าจะเอียงไปทางคำพูดที่นางพูดออกมาเพื่อที่จะปกป้องตัวเองมากกว่า
เฮือก!
ในใจลึกๆ ของเจียงหลีแอบกังวลเล็กน้อย เพราะนางรู้สึกว่าความคิดของนายน้อยลู่ท่านนี้มันช่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนตามไม่ทัน
“คือว่า…จะให้ข้าพูดที่นี่เลยหรือ” เจียงหลีกะพริบตามองไปรอบๆ แล้วมองไปที่ลู่เจี้ยผู้สูงส่ง คนรูปงามผู้นี้อยู่ห่างไกลจากนางจนทำให้มองสีหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่า การ ‘ส่งสัญญาณ’ ของนาง ไม่ได้ทำให้คนในห้องขยับตัวเลยสักคน ทีนี้เจียงหลีก็เข้าใจความหมายของลู่เจี้ยแล้ว
“อะแฮ่ม” เจียงหลีกระแอมในลำคอเบาๆ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ว่าอะไร นางจะไปใส่ใจอีกทำไม “เพราะตอนนั้นท่านพ่อข้าดำรงตำแหน่งข้าราชกาในราชสำนัก ดังนั้นไม่แปลกที่ข้าจะรู้เรื่องพวกนี้ ตระกูลลู่ได้ยืนฝั่งฮ่องเต้ปัจจุบันจากศึกแย่งบัลลังก์ หลังฮ่องเต้ได้ขึ้นครองราชย์ ตระกูลลู่ได้รับเกียรติอันสูงส่ง” เจียงหลีพูดไปด้วยพร้อมสายตาที่กวาดมองไปรอบๆ
ทว่า ในห้องยังคงเงียบกริบ แม้แต่หมอเทวดายังคงจดจ่อกับการตรวจร่างกายลู่เจี้ย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อได้ยินคำพูดของนาง เจียงหลีเองก็เข้าใจ สิ่งที่นางพูดไปทั้งหมด เป็นสิ่งที่ชาวโฮ่วจิ้นรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงไม่แปลกใจนักที่ไม่ได้การตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
นางพูดต่อว่า “ตระกูลลู่มีภูมิฐานสืบทอดกันมาร้อยปี ปัจจุบันยังเป็นขุนนางผู้ทำความดีความชอบ ขาดไม่ได้ที่จะได้รับการแต่งตั้ง ซูหนานที่เป็นแหล่งแจ้งเกิดของตระกูลลู่ จึงได้รับมอบอำนาจในการปกครองอาณาเขตแห่งนี้ แต่กลับไม่อนุญาตให้เลี้ยงกองทัพส่วนตัว แล้วยังส่งเจ้าเมือง เป็นผู้ดูแลแทนกิจในกองทัพ อีกทั้งยังมีพระราชโองการให้ท่านพ่อ น้องชายและท่านแม่ของนายน้อยโยกย้ายออกจากเมืองซูหนาน ท่านเองก็ทราบอยู่แก่ใจแล้วมิใช่หรือ ว่านี่หมายความเช่นไร” เจียงหลีอยากจะทดสอบบุรุษผู้นี้ดู แต่ก็ไม่สะทกสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ยังคงยืนหล่อเหลาราวรูปปั้น
เจียงหลีแอบเบ้ปาก ก่อนจะพูดต่อ “ท่านพ่อของนายน้อยได้รับคำสั่งให้ปกป้องปักหลักอยู่ที่ตงฝาง เขตทางทิศตะวันออก คนของนายน้อยล้วนอยู่เหนือผู้คน ทั้งบุ๋นและบู๊ ว่ากันว่า คนในตระกูลลู่รุ่นนี้ ผู้ที่มีความสามารถโดนเด่นกลับต้องอยู่ในเมืองหลวง แม้กระทั่งท่านแม่ของนายน้อยก็เช่นกัน เพื่ออะไรกันเล่า ก็เพื่อเป็นตัวประกัน แสดงว่าฮ่องเต้ได้เกิดความสงสัย หวาดระแวงการดำรงอยู่ของตระกูลลู่ ดังนั้นจึงได้วางแผนทั้งหมดเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของตระกูลลู่ ให้ภักดีได้อย่างสุดจิตสุดใจ ถึงขั้นโยนหินถามทาง อยากทดสอบว่าตระกูลลู่จะทนได้เท่าใด”
ในห้อง ยังคงเงียบกริบ
เจียงหลีรับรู้ถึงสายตาที่เหยียดหยามดูถูกจากผู้อารักขาซ้ายขวา
แต่นางก็ไม่สน สายตาจับจ้องไปยังผู้ที่นั่งอยู่เบื้องบน เอ่ยขึ้นช้าๆ “ทว่า ตระกูลลู่ไม่ได้ตระหนักถึงความหวาดระแวงจากฮ่องเต้ ดังนั้นจึงให้ลูกคนโตที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะฝึกฝนได้ นอกจากใบหน้าแล้วไม่ไม่อะไรดีสักอย่าง ได้สืบทอดตำแหน่งนายน้อย…”
“บังอาจ!” คำพูดเจียงหลีที่ดูแคลนลู่เจี้ย ทำผู้อารักขาของเขาตวาดขึ้นมา
ทันใดนั้น เจียงหลีสัมผัสถึงรัศมีอำมหิตที่แผ่มาทางนาง
“ลู่หวา” ลู่เจี้ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
รัศมีอำมหิตรอบทิศหายไปในพริบตาเดียว
“พูดต่อสิ”
เจียงหลีเข้าใจ คำนี้เขาพูดให้นางฟัง นางแอบกำมือแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง “แน่นอน นายน้อยลู่เป็นบุตรชายคนโต การที่จะสืบทอดตำแหน่งนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าน้องชายท่านมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศ ก่อนที่ตำแหน่งนายน้อยยังไม่ถูแต่งตั้ง เล่ากันว่าตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของน้องชายท่าน แต่การแต่งตั้งนายน้อยนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่ฝ่าบาทแล้วว่าตระกูลลู่มีความจงรักภักดี ไม่มีเจตนาต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ก้มหัวให้กับอำนาจฝ่าบาท น่าเสียดาย โอรสสวรรค์ยังคงไม่ไว้ใจตระกูลลู่อยู่ดี เหมือนก้างปลาที่ติดคอ หากสบโอกาสก็จะลงมือจัดการตระกูลลู่ทันที หลังจากนี้ โฮ่วจิ้นจะไม่มีตระกูลลู่อีกต่อไป” เมื่อเจียงหลีพูดจบ ราวกับว่าอุณหภูมิรอบตัวนางลดลงทันที แม้แต่ผู้อารักขาเองก็จ้องมองด้วยสายตาที่แหลมคม

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์