ตู้มม!
เสียงดังสนั่นกึกก้อง ในขณะที่อวิ๋นซู่กำลังจะตกลงไปยังทุ่งราบ ปราณสังหารก็เกิดการปะทุขึ้นมาทำให้ร่างของเขาถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ เลือดเนื้อของเขากลายเป็นกลุ่มหมอกสีโลหิตแดงฉาน
และบนพื้นก็ปรากฏรอบอักษรของคำว่า ‘ฆ่า’
ณ ที่ไกลออกไปมีเงาแสงหนีออกมา
เงาร่างของกงเสวี่ยฮวาออกมาปรากฏข้างกายของเจียงหลี เขาหันหน้ามองคำว่า ‘ฆ่า’ ที่อยู่บนพื้น อากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวของเลือด ทำให้จิตใจของเขาที่รับผลกระทบจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวกลับคืนสู่ความกระจ่างชัดเจน “ท่านฆ่าเขาจริงหรือ!”
เขาประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมเจียงหลีถึงได้เติบโตอย่างรวดเร็วเฉกเช่นนี้
ดูท่าทางเช่นนี้แล้ว ความกังวลของเขาเมื่อก่อนหน้านี้คงเสียเปล่าเสียแล้วล่ะ
เจียงหลีพยักหน้าโดยมิสนใจเลยสักนิด ด้วยอารมณ์เกียจคร้านและท่าทางมีเสน่ห์ยั่วเย้า “ข้าก็ไม่ได้อยากฆ่าสักหน่อย ใครใช้ให้พวกเราได้รับผลกระทบอื่นๆ ในอาณาเขตจื๋อจั้ง จึงพลั้งเผลอฆ่าเขาด้วยความประมาท”
เอ่อ!
“…” กงเสวี่ยฮวามองนางที่อธิบายด้วยความอึ้ง จนในที่สุดก็จำต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เผยสีหน้าชื่นชมต่อเจียงหลี
หลังจากฆ่าคนแล้วยังสามารถเรียบเรียงเหตุผลได้อย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ เขาอดชื่นชมเจียงหลีไม่ได้จริงๆ
“หยุดมองข้าด้วยสายตาเทิดทูนบูชาเช่นนี้สักที นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดขึ้นมาเองสักหน่อย” เจียงหลียกระตุกมุมปาก มองไปที่พื้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
กงเสวี่ยฮวาก็มีความรู้สึกในใจแล้วก็มองไปที่รอยเลือดจางๆ บนพื้นทุ่งกว้างรกร้างเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ กงเสวี่ยฮวาก็หัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดเย้ยหยัน “ป้อมปราการเฟยอวิ๋นนี่ถือว่าเป็นการขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ[1]หรือเปล่า”
เจียงหลีกรอกตาเล็กน้อยแล้วยิ้มตาหยีมองเขา แสงอันเยือกเย็นที่เปล่งประกายออกมาจากดวงตานั้นทำให้กงเสวี่ยฮวาขนลุกขนพอง จากนั้นจึงรีบส่ายมือพัลวันแล้วอธิบาย “เอ่อคือ ข้าก็แค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นไก่สักหน่อย”
ไม่อธิบายเสียยังจะดีกว่า พออธิบายแล้วกลับยิ่งทำให้แสงในสายตาของเจียงหลีคมเฉียบกว่าเดิมเสียอีก
“แหะๆ อย่าถือสาข้าเลย” กงเสวี่ยฮวาถอยไปด้านหลังหลายก้าว เพื่อให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้วส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เจียงหลี
แสงอันตรายในแววตาของเจียงหลีพลันหายไป และนางแสยะยิ้มมุมปากมากขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
นางไม่ได้คิดโกรธกงเสวี่ยฮวาจริงจังหรอก เพียงแต่ทั้งสองจิกกัดกันพอหอปากหอมคอเท่านั้น
ทั้งสองลงมาจากกลางอากาศแล้วทิ้งตัวลงบนผืนทุ่งราบ
ขณะนั้น การต่อสู้ตรงอื่นยังคงดำเนินต่อไปทั้งยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
เจียงหลีปล่อยพลังจิตแพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์การต่อสู้ นางจึงพบว่าพระสี่รูปของสำนักฝัวหมัว มีคนตายหนึ่งรูปและผู้บาดเจ็บอีกหนึ่งรูป และทั้งสามคนที่กำลังจัดการกับสำนักฝัวหมัว มีเพียงลูกศิษย์หนึ่งคนจากสำนักหลีหุนจงที่เสียชีวิตกลางสมรภูมิ ผลลัพธ์เช่นนี้ดูเหมือนจะไปกระตุ้นพระมหาอินฮูเข้าจึงทำให้เขาลงมือหนักและฆ่าคนในป้อมปราการเฟยอวิ๋นไปหนึ่งคน
ทางด้านวังเวิ่นฉิงเหลือเพียงไหวปี้กับลูกศิษย์อีกหนึ่งคน แต่ทว่าไหวปี้ถูกคนของป้อมเฟยอวิ๋นสกัดกั้นเอาไว้ ภายใต้การพัวพันลูกศิษย์คนนั้นกำลังพัวพันกับศิษย์สำนักหลีหุนจงก็หน้าสิ่วหน้าขวานไม่แพ้กัน
“ต่อไปจะทำเยี่ยงไรดี” กงเสวี่ยฮวาถามเสียงนิ่ง
เจียงหลีหัวเราะอย่างนึกสนุก แววตาอาบย้อมไปด้วยแสงเย็นเฉียบ “ทำอย่างไรรึ เช่นนั้นก็…หนึ่งไม่ทำ อีกหนึ่งไม่หยุดพัก ภายใต้ผลกระทบจากอาณาเขตจื๋อจั้ง พวกเราไม่ได้ตั้งใจฆ่าคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจง ดังนั้นเราก็ขอแสดงความเสียใจกับเรื่องนี้อย่างสุดซึ้ง”
กงเสวี่ยฮวาตกตะลึงเบิกตาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดไร้ยางอายดังกล่าว
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงจะปิดปากที่อ้ากว้าง ดวงตาที่เบิกโพลงก่อนจะพยักหน้าแรงๆ
หญิงแกร่ง!
บ้าพลัง! บ้าระห่ำ! ใจกล้าบ้าบิ่น!
“เป็นไงเป็นกัน!” กงเสวี่ยฮวาพูดพร้อมตั้งท่าชูกำปั้น
เจียงหลีเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์แล้วเอ่ยขึ้นกับเขา “ตอนนี้ยังเหลือคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นสองคน และคนของสำนักหลีหุนจงอีกสองคน ทางด้านไป๋หลี่เฟิ่งไม่มีปัญหา เพราะเหลือแค่คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นหนึ่งคนและสำนักหลีหุนจงอีกสองคน…”
“เจ้าอยู่เฉยๆ เดี๋ยวข้าออกโรงเอง!” กงเสวี่ยฮวายิ้มมาดร้าย

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์