“อิสระไร้ขอบเขต” ทันใดนั้นเสียงจากทางด้านสำนักฝัวหมัวก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน
“พระมหาอินฮู ท่านหมายถึง ศิษย์น้องผู้น่าสงสารของท่าน ตายเพราะกิเลสเข้าร่างแล้วกลายเป็นมารหรือ” ดูเหมือนอาจารย์ใหญ่ของสำนักฝัวหมัวจะไม่ได้ยินคำคัดค้านของฝั่งนี้ แล้วแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อพระอินฮู
พระมหาอินฮูผงกศีรษะอย่างเศร้าสร้อย “ใช่แล้ว ตอนนั้นพวกเราถูกขังอยู่ในอาณาเขตจื๋อจั้ง เพราะกิเลสครอบงำร่างกายหลายคนจึงได้รับผลกระทบจากกิเลสแล้วถูกฆ่าตายอย่างบ้าคลั่ง มีคนตายไม่น้อย มันช่างโหดร้ายจริงๆ โชคดี ในช่วงสุดท้ายที่กำลังคับขัน เจียงหลีแห่งฮวงเสินค้นพบวิธีออกจากอาณาเขตจื๋อจั้งจึงช่วยชีวิตพวกเราที่เหลือออกมาได้”
กงเสวี่ยฮวาฟังจนเบิกตาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เขาขอคารวะให้กับทักษะการเล่นละครของพระมหาอินฮูจริงๆ! หลังจากเหตุการณ์นี้เขาละเว้นส่วนตรงกลาง และถูกยึดโดยประเด็นสำคัญในตอนต้นและตอนปลายอย่างนั้นหรือ
“ที่แท้ เพราะคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงถูกกิเลสครอบงำจนตายก็เพราะพลังควบคุมจิตไม่แข็งแกร่งพอนี่เอง” ผู้อาวุโสของวังเทียนอู่กงที่ห้ามกงเสวี่ยฮวาเมื่อครู่นี้ตระหนักได้ในทันที
และเขายังประสานมือคารวะพวกเสิ่นฉง “ต้องขอบใจท่านแล้ว”
“มิกล้ารับไว้หรอก” เสิ่นฉงยิ้มเจือจางแล้วผงกมือตอบกลับไปตามมารยาท
ส่วนคนของวังเวิ่นฉิงและสำนักฝัวหมัวต่างพากันแสดงความขอบคุณไปที่ฮวงเสินเช่นกัน
กลุ่มอำนาจทั้งสี่แซ่ซ้องและสร้างสันติภาพ โดยทิ้งป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงไว้ข้างนอกโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสดใส
“เหอะ! พวกท่านบอกว่าพวกเขาตายเพราะกิเลสครอบงำ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ” เห็นได้ชัดว่าคนของสำนักหลีหุนจงไม่เชื่อ
ไม่เพียงแค่พวกเขา แต่คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นก็ไม่เชื่อเช่นกัน! ต่อให้ตายเพราะถูกกิเลสครอบงำ แต่ทำไม่คนที่ตายถึงได้มีเพียงคนของพวกเขาสองสำนัก ทั้งยังตายเกลี้ยงหมดเลยหรือ
“พวกท่านบอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่หรือ พวกท่านได้อยู่ในนั้นหรือไร รู้หรือไม่ว่าพวกข้าเจออะไรบ้าง” กงเสวี่ยฮวาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
สำนักหลีหุนจงไม่กล้าหาเรื่องนายน้อยแห่งวังเทียนอู่กง จึงทำได้เพียงลอบมองทางด้านป้อมปราการเฟยอวิ๋น
ผู้นำกลุ่มของป้อมปราการเฟยอวิ๋นปราดมองกงเสวี่ยฮวาอย่าร้ายกาจ กงเสวี่ยฮวากลับไม่กลัวแล้วจ้องกลับไป เขาถอนสายตากลับมามองทางด้านฮวงเสิน “ขอเรียนถามพวกท่านจากฮวงเสิน เจียงหลีผู้นั้นอยู่ที่ไหน”
“เจียงหลียังอยู่ในดินแดนผนึกมาร อยู่ที่ไหนไม่ทราบแน่ชัด หากทุกท่านต้องการหาหลักฐานจากนาง เกรงว่าอาจจะต้องรอไปอีกหลายปีแล้วล่ะ” เสิ่งฉงยิ้มอบอุ่นสง่างาม
เจียงหลีไม่ได้ออกมา!
ข่าวนี้ทำให้แววตาของพวกป้อมปราการเฟยอวิ๋นเป็นประกายวูบไหว
“พวกท่านคงไม่ได้แอบซ่อนนางเอาไว้หรอกกระมัง” คนของสำนักหลีหุนจงเยาะเย้ย
เสิ่นฉงเอ่ยขำ “ทำไมฮวงเสินอย่างพวกข้าต้องแอบซ่อนนางเอาไง้ด้วย”
“…” คนของสำนักหลีหุนจงหน้ามืดครึ้ม
เขาอยากพูดถากถางเสิ่นฉง แต่กลับถูกเสิ่นฉงมองออกอย่างง่ายดาย เขาสู้ไม่ได้ตั้งแต่แรก
“อย่าด่วนตัดสินหากปราศจากข้อพิสูจน์ คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงอย่าเพิ่งกล่าวหาไปทั่ว ถึงอย่างไร ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเป็นเทียนเจียวของกลุ่มอำนาจ มิอาจโดนเหยียดหยามได้โดยง่าย” ผู้อาวุโสสตรีของวังเวิ่นฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
หลักฐาน!
แววตาของศิษย์ป้อมปราการผู้นั้นดำดิ่งจนน่ากลัว มืดมนยากที่จะเห็นชัด หากเขามีหลักฐาน เขาจะมาพูดจาไร้สาระอยู่ตรงนี้ทำไม เขาคงจับคนกลับไปรับโทษที่ป้อมปราการเฟยอวิ๋นได้ตั้งนานแล้ว
“สิ่งที่ควรพูด ก็พูดไปชัดเจนแล้ว พวกเราขอตัวก่อน” เมื่อเสิ่นฉงพูดจบก็พาทกคนหายไปทันที
ความเร็วนั้นเร็วมากจน ฉินเทียนอีไม่สามารถตอบสนองได้ และแผนการของเขาที่จะหาโอกาสที่จะถามเจียงเฮ่าเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจียงหลีก็ล้มเหลว
“เฮ้อ สงสัยต้องไปเมืองฮวงเสินสักเที่ยวแล้วล่ะ” ฉินเทียนอีพูกับตัวเอง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์