ในไม่ช้า เจียงอี้จะต้องชดใช้ในความคิดที่ผิดมหันต์ของเขา!
ตามหลักแล้ว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังน่าจะได้ศิลาสวรรค์สักสองสามร้อยก้อนหรือพันก้อน อย่างตอนที่เขาอยู่ที่ทวีปเทียนชิงที่เป็นทวีปเล็กๆ เขายังได้ศิลาสวรรค์มากว่าพันก้อนหลังจากที่ขุดพบสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เลย ในโลกภายนอกนี้ก็คงจะหาศิลาสวรรค์มาได้ง่ายกว่าใช่ไหม?
เมื่อมีศิลาสวรรค์พอ แล้วใครจะอยากมาเป็นทาสและขุดหินอัสนีกัน? ใครจะอยากให้ใบหน้าของพวกเขาถูกตราว่า ทาส กัน? ดังนั้นเขาจึงคิดว่าลู่ถงแค่พยายามขู่เขาเฉยๆ ส่วนพวกทาสคนอื่นๆ ก็คงจะมีแต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหรือขอบเขตจินกัง และคงไม่น่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนหรอก แต่ถึงแม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุน แต่เขา, เฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวหากพวกเขาร่วมมือกัน
แต่อย่างไรก็ตาม!
หลังจากที่เจียงอี้บินข้ามเขาไปไม่กี่ลูกและมาถึงเมืองใหญ่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนที่อยู่ในเมืองและมีท่าทีเปลี่ยนไปมาก
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้เมือง สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นับร้อยถูกแผ่ออกมาและเพ่งเล็งไปที่เฟิ่งหลวนและหญิงสาวคนอื่นๆซึ่งมันทำให้ เฟิ่งหลวน, ชิงหยี, เจียงเสี่ยวนู๋และหยุนเฟยต่างรู้สึกโกรธเคืองเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางต้องเจอกับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้
“ที่นี่มียอดฝีมือมากมายและมีขอบเขตเทียนจุนอย่างน้อยก็เกือบร้อยคนเลย นี่มันแย่มาก….ข้าน่าจะพาเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆเข้าไปในราชวังจักรพรรดิก่อน ตอนนี้เราตกเป็นเป้ากันไปแล้ว”
เจียงอี้บ่นอยู่เงียบๆ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมียอดฝีมือมากมายอยู่ในเมืองนี้ จากสถานการณ์แล้ว พวกเขาส่วนใหญ่เป็นทาสกันหมดและเจียงอี้ก็เห็นทหารที่ประตูเมืองซึ่งดวงตาของพวกเขาลุกวาวเช่นกันเมื่อเห็นเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆ แต่พวกเขาก็ไม่มีแววตาที่ชั่วร้ายออกมา
เมืองนี้มีขนาดใหญ่และประตูเมืองมีความสูงอย่างน้อยสามร้อยเมตร หินขนาดยักษ์ทั้งหลายต่างเต็มไปด้วยรอยสึกเนื่องจากกาลเวลาค่อยๆล่วงเลยไป และเมื่อมองเผินๆก็เหมือนว่าเมืองแห่งนี้รกร้างและเก่าแก่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันถูกสร้างมากี่ปีแล้ว
บนกำแพงมีทหารอยู่ไม่มากนักซึ่งพวกเขาถูกกระจายตัวกันออกไปโดยมีระยะห่างซึ่งกันและกันอย่างน้อยสามพันเมตร นอกจากนี้ พวกเขาทั้งหมดยังอยู่ในขอบเขตจินกังในขณะที่มีเพียงผู้บัญชาการประตูเมืองเท่านั้นที่เป็นขอบเขตเทียนจุน
ฟรึ่บ!
เมื่อลู่ถงเข้าใกล้ประตูเมือง เขาก็หันกลับมาและอธิบายกับทุกคนด้วยน้ำเสียงนิ่งๆว่า “เราไม่ให้ใช้ความรุนแรงและห้ามบินในเมืองนี้ หากผู้ใดต้องการจะมีเรื่องกัน พวกเจ้าก็ออกมาจากเมืองเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้ หากผู้ใดกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในเมือง คนเหล่านั้นจะถูกประหารโดยไม่มีการต่อรองใดๆ! นอกจากนี้ ห้ามบุกรุกที่พักคนอื่นและอย่าไปยังที่ชั้นสองของตำหนักเจ้าเมืองหากไม่มีธุระกงการอะไร ส่วนชั้นแรกของตำหนักเจ้าเมืองน่ะ เป็นที่ของสมาคมการค้าตระกูลลู่ พวกเขาจะมีของจำเป็นทั้งหมดและสามารถซื้อได้ด้วยศิลาสวรรค์”
ลู่ถงอธิบายเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปทักทายผู้บัญชาการประตูเมือง ในขณะที่เขาพาทุกคนเข้าไปในเมืองก็อธิบายต่อ “แรงงานในเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างนั้นเรียบง่ายมาก พวกเจ้าต้องออกไปทางประตูเมืองตะวันออกและหาหินอัสนี ทุกๆคนจะต้องส่งหินอัสนีมาคนละก้อนต่อวัน เจ้ามีมนุษย์ทั้งหมดเจ็ดคนและสัตว์วิญญาณสองตน ดังนั้นเจ้าจะต้องส่งหินอัสนีไปยังที่พำนักของเจ้าเมืองทุกวัน”..Aileen-novel
“งานนี้จะเริ่มขึ้นในอีกสามวัน! หากขาดหินอัสนีไป หนึ่งในพวกเจ้าจะถูกประหาร และหากพวกเจ้าไม่ส่งหินอัสนีแม้แต่ก้อนเดียว พวกเจ้าทุกคนจะถูกประหาร! ตราบใดที่พวกเจ้าหาหินสวรรค์ได้พอในแต่ละวัน พวกเจ้าสามารถใช้เวลาที่เหลือบ่มเพาะพลังหรือเพลิดเพลินกับชีวิตในเมืองได้ ตราบใดที่พวกเจ้าไม่สร้างความเดือดร้อน ก็จะไม่มีใครมายุ่งกับพวกเจ้า”
“หากพวกเจ้าได้หินอัสนีมามาก พวกเจ้าจะเลือกเก็บไว้เพื่อส่งให้ในวันต่อๆไปหรือจะแลกเปลี่ยนเป็นแต้มความดีความชอบก็ได้ ในเผ่าเทพประทานนี้ แต้มความดีความชอบเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนในการใช้แต้มความดีความชอบ เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้เอง เอาล่ะ พวกเจ้าจงไปที่บ้านเลขที่หนึ่งเจ็ดเจ็ดเจ็ดซะ นั่นจะเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า”
หลังจากที่ลู่ถงอธิบายเสร็จ เขาก็โยนป้ายไว้บนพื้นก่อนที่จะเดินออกจากประตูเมืองด้านตะวันตกและหายไปอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้ก้มลงไปหยิบป้ายและเขาเองก็รู้อย่างชัดเจนว่าลู่ถงผู้นี้ตั้งใจจะทำให้เขาอับอาย แต่เขาก็ทนกับเรื่องพวกนี้ได้ ป้ายนี้เป็นป้ายสีดำและเย็นเล็กน้อยเมื่อสัมผัส เมื่อแก่นแท้พลังถูกหมุนเวียนไปที่ป้าย มันจะเปล่งแสงจางๆออกมาซึ่งน่าจะเป็นป้ายที่ตระกูลลู่ทำขึ้นเป็นพิเศษและมันถูกสลักด้วยตัวเลขเล็กๆสี่ตัว 1777
“ฮึฮึ!”
มีเสียงหัวเราะเบาๆจากบรรยากาศรอบๆซึ่งมันทำให้เจียงอี้หันไปสนใจ เมื่อเขามองไปรอบๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่ผู้คนหลายคนเดินออกมาจากลานข้างหน้าและมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่เยาะเย้ย เขาเห็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้อย่างชัดเจนและคนผู้นั้นกำลังมองเฟิ่งหลวนและหญิงสาวคนอื่นๆด้วยสายตาที่ลามก
“หืม?”…ไอรีนโนเวล
เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆมีสีหน้าที่เย็นชาอย่างรวดเร็ว หากใครมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็คงจะรู้สึกอึดอัดเช่นกัน ดวงตาของเจียงเสี่ยวนู๋แฝงไปด้วยจิตสังหารในขณะที่ร่างของนางสว่างไสวไปด้วยแสงสีเขียวจนเจียงอี้ต้องรีบรั้งนางไว้และส่งข้อความเสียงบอกว่า “เสี่ยวนู๋ หากข้าไม่ได้สั่ง เจ้าห้ามลงมือที่นี่เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทำให้ทุกคนต้องตาย ส่วนคนพวกนั้นน่ะ….ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก”
“เจ้าค่ะนายน้อย!”
เจียงเสี่ยวนู๋เชื่อฟังเจียงอี้มากและแม้ว่าเจียงอี้จะขอให้นางไปตาย นางก็จะไม่ลังเลเลย
เมื่อเห็นดวงตาที่แวววับโดยรอบ เจียงอี้ก็ต้องการที่จะนำราชวังจักรพรรดิออกมาเพื่อพาทุกคนกลับเข้าไปในราชวัง แต่ในเมื่อพวกเขาถูกเผยตัวแล้วมันจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพาพวกเขาเข้าไปในตอนนี้ ซึ่งการเอาราชวังจักรพรรดิออกมาตอนนี้มันคงจะดึงดูดอันตรายเข้ามามากขึ้นได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากส่งข้อความถึงทุกคน “ฟังข้า อย่าเคลื่อนไหวอะไรและถอนกลิ่นอายของพวกเจ้ากลับมาซะและไม่ต้องไปสนคนอื่น เราจะไปยังที่พักของเรากันก่อน”
เจียงอี้ทำตัวรอบคอบเนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้และไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเช่นไร เขาพาทุกคนไปขณะที่เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงยืนอยู่ข้างๆและล้อมรอบหญิงสาวสี่คนตรงกลางเอาไว้
เมืองนี้มีขนาดใหญ่มากแต่ก็ไม่ได้เจริญขนาดนั้นและโครงสร้างของที่นี่ก็เรียบง่ายมาก ที่อยู่อาศัยของที่นี่เป็นลานหินปูเหมือนกัน ส่วนลานก็ไม่ได้ใหญ่นักและอาจมีห้องเพียงห้องเดียวและโถงเพียงโถงเดียว ถนนทั้งสายไม่มีร้านอาหาร, โรงแรมหรือร้านค้าและมีแต่สนามหญ้าสีเขียวที่ประตูนั้นถูกสลักไว้ด้วยเลข
ด้านข้างถนนนั้น มีผู้คนมากมายเดินออกมาจากลานของพวกเขาและส่วนใหญ่ต่างก็เป็นผู้ชาย พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปที่เฟิ่งหลวนและหญิงสาวคนอื่นโดยไม่เก็บความปรารถนาที่จะได้ครอบครองพวกนางไว้แม้แต่น้อย ยังมีแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำผิวปากให้เฟิ่งหลวนด้วยซ้ำ
ทุกๆคนได้รับคำสั่งของเจียงอี้แล้ว พวกเขาจึงไม่สนใจสายตาเหล่านั้นในขณะที่พากันตามหาบ้านเลขที่ 1777 อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เดินไปได้ไม่ถึงสิบกิโลเมตรก็มีสี่แยกปรากฏขึ้นด้านหน้า จากนั้นเจียงอี้จึงแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและตรวจสอบหาเลขและเดินไปตามทางด้านซ้ายของถนน
“หนึ่งเจ็ดหกเก้า, หนึ่งเจ็ดเจ็ดห้า, หนึ่งเจ็ดเจ็ดเจ็ด นี่แหละ!”
หลังจากเดินไปได้สิบห้านาที ในที่สุดเจียงอี้ก็พบที่ของเขา เขาตรวจสอบในนั้นด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และพาทุกคนเข้าไปหลังจากผลักประตูให้เปิดออกมา ด้านนอกที่ว่าทรุดโทรมแล้ว ภายในกลับยิ่งแย่กว่านั้นอีก มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดได้ด้วยซ้ำ แต่รู้เพียงว่ามันไม่ต่างจากที่ที่ขอทานเอาไว้อยู่เลย
ทุกคนเดินผ่านสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยขยะและก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ พวกเขาก็ได้กลิ่นเหม็นจนชิงหยีปิดจมูกของนางและไม่กล้าเข้าไป ส่วนเจียงอี้ก็เดินเข้าไปและไม่กลัวอะไร และเมื่อเขาเห็นข้อจำกัดที่อยู่ข้างใน เขาก็กระแทกไปที่มันอย่างง่ายดาย จากนั้นพื้นที่ก็สว่างขึ้นด้วยแสงของข้อจำกัดนี้ซึ่งมันค่อนข้างมีประโยชน์มากนัก
“เจ้าอ้วน, พี่อู๋ซวง เราทำความสะอาดที่นี่กันเถอะ”
เจียงอี้ขอให้เฟิ่งหลวนและผู้หญิงคนอื่นออกไปข้างนอกในขณะที่เขา, จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนเริ่มทำความสะอาดที่นี่ เจียงเสี่ยวนู๋รีบตามเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยทำความสะอาดที่นี่ด้วยขณะที่หยุนเฟย, เฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างก็พากันฝืนกลิ่นเหม็นเน่าและความสกปรกเพื่อไปช่วยทำความสะอาดที่นี่ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว ในที่สุดที่นี่ก็ค่อยดูเหมือนที่ที่คนอยู่ได้หน่อย
ภายในนี้อาจเล็กมากเพราะมีเพียงสองห้องและห้องโถงอีกหนึ่งห้อง ซึ่งห้องพักนั้นไม่มีเตียงเลย มันเล็กมาก และโชคดีที่เจียงอี้เก็บสัตว์อสูรหยาจื้อเอาไว้ในราชวังจักรพรรดิ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีพื้นที่ที่จะให้มันยืนได้เลยด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ พวกผู้ชายจะนอนห้องนึงส่วนผู้หญิงจะอยู่อีกห้องนึง! อดทนกันไปก่อนนะในช่วงที่ข้าออกไปสำรวจข้างนอก”
เจียงอี้ขอให้ทุกคนจัดการตัวเองในขณะที่เขากำลังจะออกไปตรวจสอบสถานการณ์หลังจากที่เปิดข้อจำกัดไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ค้นพบทันทีว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตูบ้าน
เจียงอี้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกไปในขณะที่บุคคลนั้นส่งข้อความเสียงกลับมาทันที “เฮ้เฮ้! นายน้อย ข้ามีนามว่า หูซาน และข้ามีข้อมูลทั้งหมดที่พวกท่านต้องการ ข้าจะขอเข้าไปในลานของท่านครู่หนึ่งได้หรือไม่?”
“ขายข้อมูลรึ?”
เจียงอี้เลิกคิ้วขึ้นขณะที่เขาเดินออกมาจากห้องและตอบว่า “เช่นนั้นก็เข้ามาเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว