บทที่ 159 ความไม่พอใจของเหล่าเทพน้อย
“ดูเหมือนว่าพระธาตุนั้นจะสามารถทำให้เปลี่ยนไปเป็นพระได้จริงๆ ข้าเหมือนจะเคยได้ยินตำนานแบบนี้มาก่อน” เพ่าฝูคิดอยู่เป็นเวลานานแล้วพูดขึ้น “ในยุคโบราณกาลตั้งแต่ตอนที่โลกเซียนยังไม่ได้แยกจากกัน ฟ้าดินได้รับผลกระทบจากหายนะต่างๆ ซึ่งสำนักที่เป็นผู้นำในเวลานั้นคือสำนักชันเจี้ยวและจี๋เจี้ยว”
เมื่อได้ยินที่เพ่าฝูพูดถึงตำนานโบราณ ฉิงเทียนจึงได้ตั้งใจฟังและรอเพ่าฝูพูดต่อ มันเป็นความลับของโลกเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่หาฟังไม่ได้ง่ายนัก
“เดิมที ชันเจี้ยวนั้นไม่ใช่คู่มือของจี๋เจี้ยวเลย แต่ทว่าด้วยการแอบสนับสนุนอย่างลับๆของพุทธศาสนา ทำให้ชันเจี้ยวสามารถเอาชนะจี๋เจี้ยวได้และสำนักจี๋เจี้ยวก็ได้ถูกทำลายไป ในเวลานั้นเองที่ผู้คนต่างคิดว่าสำนักชันเจี้ยวนั้นจะได้ขยายอำนาจและกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในโลก แต่ใครจะไปคิดว่าสำนักชันเจี้ยวนั้นจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรในเวลานั้น ในตอนแรกพุทธได้ช่วยเหลือสำนักชันเจี้ยวอย่างลับๆด้วยการมอบพระธาตุให้กับพวกเขา ทำให้ความสามารถของเหล่าลูกศิษย์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก แต่ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของพระธาตุนานไปๆพวกเขาก็ได้เริ่มย้ายมาอยู่กับพุทธทีละคนๆ จนหมดสำนักแล้วกลายมาเป็นพระสงฆ์ และเหล่าโพธิสัตว์ ทำให้สำนักชันเจี้ยวดั้งเดิมนั้นได้หายสาบสูญไป”
เพ่าฝูถอนหายใจแล้วพูดขึ้นต่อ “ทั้งสองสำนักที่เดิมทีเป็นถึงผู้นำของฟ้าดิน แต่ในท้ายที่สุดผลประโยชน์ทั้งหมดก็ได้ตกเป็นของพุทธศาสนา เหมือนกับ*นกอีก๋อยกับหอยที่ต่อสู้กันแล้วสุดท้ายชาวประมงก็จับเอาไปทั้งคู่” (*เปรียบได้กับนิทานตาอินกับตานาบ้านเรา)
ถือเป็นความโชคร้ายของทั้งสองสำนักชันเจี้ยวและจี๋เจี้ยว ที่การต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงของทั้งสองสำนัก แต่สุดท้ายผลประโยชน์ทั้งหมดก็ได้ตกเป็นของพุทธศาสนา “ดีนะที่เราบอกว่าไม่เอาพระธาตุ เรายังไม่อยากที่กลายเป็นพระหรอกนะ!” ฉิงเทียนพูดด้วยความกลัว เขาไม่คิดว่าความรู้สึกของเขาที่ได้ยินชื่อของพุทธเจ้านั้นมันทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดี และไม่คิดว่าจะมีกับดักซ่อนอยู่ข้างในด้วย
“โชคยังดีนะเจ้าคะนายท่าน ที่นายท่านไม่เห็นด้วย ไม่อย่างนั้นนายท่านคงได้กลายเป็นพระไปแน่ๆ” เพ่าฝูเอามือกุมท้องและหัวเราะออกมา
เขามองดูเพ่าฝูที่หัวเราะไม่หยุด
ถึงแม้ว่าจะมีการพูดคุยไปเป็นจำนวนมาก แต่บทสนทนาเมื่อครู่ก็ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น
เมื่อฉิงเทียนกลับออกมาจากทะเลความรู้ ซุนหงอคงก็ได้เก็บเอาพระธาตุกลับไปยังช่องเก็บของของเขาเอง แล้วฉิงเทียนก็ได้พูดกับซุนหงอคง “ถ้าท่านมหาเซียนไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอกลับออกไปก่อนนะครับ ผมยังมีธุระต้องทำอีกมากในงานเลี้ยงลูกท้อ”
“ได้สิ” ซุนหงอคงที่เห็นว่าฉิงเทียนไม่อยากที่จะได้พระธาตุและซุนหงอคงยังคิดไม่ออกว่าจะตอบแทนอะไรเขา เขาจึงได้ปล่อยฉิงเทียนไปก่อน!
แล้วตรงหน้าเขาก็ได้มืดบอดอีกครั้ง แล้วบรรยากาศรอบๆตัวฉิงเทียนก็ได้เปลี่ยนไป และกลับมายังสถานที่จัดงานเลี้ยงลูกท้อ แล้วฉิงเทียนก็พบเหล่าเทพน้อยที่กำลังรออยู่ที่มุมหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าซุนหงอคงได้กลับมาพร้อมกับฉิงเทียน เสี่ยวเยว่จึงได้รีบเข้าไปหา “ยินดีต้อนรับกลับมาครับท่านมหาเซียน”
“โอ้ เจ้าหนูเจ้าช่างมีความอดทนดีมากจริงๆ ที่เจ้ายังอุตส่าห์มารอฉิงเทียนที่นี่” ซุนหงอคงพูดกล่าวชม
“มันเป็นงานของข้าน้อยขอรับ” เทพน้อยพูดอย่างถ่อมตัวเมื่อเห็นซุนหงอคงพูดชื่นชมเขา
“ในเมื่อน้องฉิงยังมีงานต้องทำ ข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว แล้วข้าจะคอยรอชมงานเลี้ยงลูกท้อของน้องฉิงนะ” ซุนหงอคงตบไหล่ของฉิงเทียน
ก่อนที่ฉิงเทียนจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ขี่เมฆตีลังกาบินไปแล้ว
มองดูความเร็วของซุนหงอคง ฉิงเทียนก็พูดด้วยความอิจฉา “เมื่อไหร่เราจะบินได้บ้างนะ?”
เทพน้อยเสี่ยวเยว่รู้สึกตกใจเมื่อได้ได้ยินที่ฉิงเทียนพูด เพราะหากตัวอ่อนของฉิงเทียนนั้นยังไม่โต ก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถบินได้
แต่ทว่าจริงๆแล้วเขาเดาผิดไปหน่อย ฉิงเทียนในเวลานี้อยู่ในขั้นหยวนยิงแล้ว แต่ทว่าเขาเพิ่งจะมาที่โลกเซียน ซึ่งเขานั้นยังหาอาวุธวิเศษประจำตัวยังไม่ได้เลย
แล้วฉิงเทียนก็ได้เดินตามเทพน้อยเสี่ยวเยว่ไป มายังลานกว้างซึ่งที่ลานกว้างนั้นเต็มไปด้วยเหล่าเทพน้อยจำนวน 30 คน



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านค้าจากแดนสวรรค์ (仙界淘宝) ข้ามได้รีรันเฉยๆของเก่าหาย