ต้าไป๋กระดิกหางระริกระรี้ วิธีที่ไม่เสียเวลาชิงหัวเช่นนี้ มันพอใจเป็นอย่างมาก จึงรีบเอ่ยปากทันใดว่า “แล้วต่อไปข้าควรทำอะไรบ้าง”
อันหลินลูบคาง พูดด้วยท่าทางของผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ว่า “อันดับแรก เจ้าต้องแสดงจุดยืนก่อน”
ต้าไป๋แลบลิ้น หูตั้งขึ้นเล็กน้อย ทำท่าตั้งใจฟัง
อันหลิน “เมื่อก่อนเจ้าบอกว่านางเป็นน้องสาวมาตลอดเลยสินะ”
ต้าไป๋พยักหน้า
อันหลิน “เจ้าไปบอกนางก่อนว่า เจ้าไม่ได้มองนางเป็นน้องสาวแล้ว เจ้าจะเป็นเพื่อนกับนาง! เชื่อว่านางจะเข้าใจความหมายของเจ้าแน่นอน”
ต้าไป๋พยักหน้า จากนั้นก็เหินเวหาไป “เจ้านาย เจ้ารอข้าที่นี่ก่อนนะ!”
อันหลินไม่คิดเลยว่าต้าไป๋จะใจร้อนถึงเพียงนี้ หลังทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้แล้ว ก็เหาะไปหาชิงหัวทันที
เขากับเจ้าอัปลักษณ์เห็นดังนั้นก็ทำได้แค่หาวอยู่อีกทาง ถือโอกาสล้วงเสี่ยวหงออกมาสังเคราะห์แสงสักหน่อย
อันที่จริงหลังการรับสืบทอดในสำนักสัตว์เทพของต้าไป๋เสร็จสิ้นแล้ว เผ่าพันธุ์ของมันได้รับการสืบทอดมาจากหมาป่าสวรรค์ เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งวายุและกรงเล็บคมดาบ
ตอนนี้ขอเพียงจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคู่หมั้นคู่หมายและครอบครัวให้เสร็จ ก็สามารถทำพันธะสัญญากับอันหลินได้แล้ว
หลังผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ต้าไป๋ก็เหาะกลับมาอีกครั้ง
“เรียบร้อยหรือยัง” อันหลินพูดอย่างสงสัย
ต้าไป๋พยักหน้าอย่างสับสนงุนงง “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่า พอข้าบอกว่าไม่เป็นพี่น้องกับนางแล้ว จะเป็นเพื่อนแทน นางก็ยอมให้ข้าไปกับเจ้า จิตใจของสุนัขตัวเมียคาดเดายากเสียจริง”
“แถมนางยังมอบกระดูกมังกรที่คอยอยู่เคียงข้างนางเสมอให้ข้าด้วย”
“บอกว่าหากคิดถึงนาง ก็เอาออกมาเลียได้…”
ขณะที่พูด ต้าไป๋ก็คาบกระดูกสีขาวไว้ในปาก ราวกับกำลังบอกอันหลินว่า
‘กระดูกชิ้นนี้นี่แหละ!’
อันหลินตกใจนิดหน่อย
เขาไม่ได้ตกใจที่นางยอมให้ต้าไป๋จากไป แต่ตกใจที่นางมอบกระดูกชิ้นนี้ให้เป็นของที่ระลึกยืนยันความสัมพันธ์!
จูบทางอ้อมเหรอ
อันหลินลอบพยักหน้า
อดพูดไม่ได้เลยว่า หมาน้อยสมัยนี้ ใช้มารยาได้คล่องแคล่วเหมือนกันนี่นา!
ต้าไป๋พูดเสียงระรื่นว่า “ลำดับต่อไปแค่ผ่านด่านของพ่อแม่ข้าก็เป็นอันเรียบร้อย”
อันหลินพรั่นใจเล็กน้อย “แล้วข้าต้องไปด้วยหรือไม่”
ต้าไป๋เอียงหัวครุ่นคิด จากนั้นพูดว่า “ไปด้วยน่าจะดีที่สุด พ่อแม่ข้าก็เคยพูดเหมือนกันว่าอยากเจอเจ้าสักครั้ง”
สิ้นประโยคนี้ อันหลินก็ยิ่งหวั่นวิตกไปกันใหญ่
ถูกพ่อแม่ของต้าไป๋พะวงถึงเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน พวกมันจะกระโจนพรวดเข้ามาหรือเปล่า
“เจ้าอัปลักษณ์ เจ้ากลับร่างเดิมช่วยสร้างความฮึกเหิมให้ข้าที” อันหลินพูดอย่างจนปัญญา
เจ้าอัปลักษณ์กลายเป็นราชาวานรเนตรทองที่สวมชุดเกราะสีดำ มือถือกระบองสีเงิน รูปร่างแข็งแรงกำยำ!
เมื่อต้าไป๋เห็นท่าทางของเจ้าอัปลักษณ์ก็เบิกตากว้าง “ช่างอัปลักษณ์…ถุย! ช่างเป็นวานรที่องอาจผึ่งผายนัก!”
อันหลินเห็นปฏิกิริยาของต้าไป๋จึงพูดว่า “เขาชื่อเจ้าอัปลักษณ์ เป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมากับข้า”
ต้าไป๋ได้ฟังก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา พยักหน้าอย่างตื่นเต้น เอ่ยทักทายเจ้าอัปลักษณ์ “สวัสดีเจ้าอัปลักษณ์ ข้าชื่อต้าไป๋ เป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมากับอันหลินเช่นกัน”
“ตอนนั้น ในศึกแห่งอิสรภาพ ชื่อเสียงของคู่หูมนุษย์สุนัข เป็นที่พรั่นพรึงของเหล่านักเรียนในสรวงสวรรค์ ไม่มีใครไม่ทราบ ไม่มีใครไม่รู้จัก…”
ระหว่างทาง ต้าไป๋เริ่มคุยโวโอ้อวดถึงวีกรรมอันรุ่งโรจน์
เจ้าอัปลักษณ์ทำหน้าเคลือบแคลงใจ แต่อันหลินกลับดีใจที่มันคุยโม้เช่นนี้ สามารถผ่อนคลายความตึงเครียดได้พอดี
ต้าไป๋พูดเรื่องของพ่อแม่มันให้อันหลินฟังมาตลอดทาง
เช่นว่าแม่ของมันเป็นสุนัขสีขาวระดับแปลงจิต ส่วนพ่อของมันเป็นสัตว์เซียนระดับหวนสู่ความว่างเปล่า นั่นเป็นถึงหนึ่งในสามจอมราชันสัตว์เซียนที่เลื่องชื่อลือชาในสำนักสัตว์เทพ
ยิ่งอันหลินได้ฟังในใจก็ยิ่งกังวลใจ ให้ตายเถอะ ทำไมภูมิหลังของต้าไป๋ถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
จะให้ต้าไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองจริงๆ งั้นเหรอ
พ่อแม่ของมันตนหนึ่งเป็นสัตว์เซียน อีกหนึ่งเป็นสัตว์ปราณ ผู้ดำรงอยู่ที่สูงส่งปานนี้…
จะยอมให้ลูกชายของตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงของนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนหนึ่งงั้นเหรอ
ผลของการสร้างความฮึกเหิมของเจ้าอัปลักษณ์กลับกลายเป็นสูญเปล่า นอกจากใบหน้าที่พอจะข่มขวัญพ่อแม่ต้าไป๋ได้บ้างแล้วนั้น เกิดต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ คาดว่ายังไม่พอให้แม่ของมันตบด้วยซ้ำ
เฮ้อ…เจ็บปวดจังเลย…
อันหลินคิดว่าตนกำลังมุ่งหน้าสู่ลานประหาร

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม