ก่อนออกจากสำนักสัตว์เทพ อันหลินกับต้าไป๋ก็ไปพบจ้าวหวายหยินด้วยกันอีกครั้ง
จ้าวหวายหยินจัดการธุระในสำนักสัตว์เทพได้พอสมควรแล้ว เปิดเทอมปีสองพวกเขาจะได้พบกันอีก จึงพูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค ก็โบกมืออำลา ไม่ต้องทำอะไรให้ซาบซึ้งมากนัก
อันหลินขี่ต้าไป๋มาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีแสงแดดเจิดจ้า สายลมโชยแผ่วเบา เป็นสถานที่เหมาะแก่การทำเรื่องทางการ
เขาประสานอิน พึมพำร่ายคาถา รอบตัวมีพลังปราณกระเพื่อมอย่างรุนแรง
เมื่อวาดนิ้ว หยดเลือดที่ส่องแสงสีทองก็ผุดออกจากปลายนิ้วของเขา จากนั้นหยดลงบนหน้าผากของต้าไป๋
วิ้ง…
การทำพันธะสัญญาอันไร้รูปร่างเริ่มบังเกิดระหว่างอันหลินและต้าไป๋
นัยน์ตาของต้าไป๋เป็นประกายวาบ แลบลิ้นพูดอย่างตื่นเต้นว่า “สำเร็จแล้ว! ข้ารู้สึกว่ามีด้ายล่องหนเชื่อมต่อพวกเราไว้ด้วยกัน นี่เป็นความรู้สึกของการเป็นสัตว์เลี้ยงหรือ อีกอย่าง ข้ารับรู้ตำแหน่งของเจ้าได้โดยไม่รู้ตัว!”
อันหลินพยักหน้ายิ้มๆ “เราอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณทั้งคู่ ขอเพียงห่างกันไม่เกินรัศมีสิบลี้ จะสามารถสื่อถึงกันได้”
หลังทำพันธะสัญญากับต้าไป๋สำเร็จแล้ว อันหลินก็เริ่มยื่นไมตรีให้เจ้าอัปลักษณ์
เขาล้วงเสี่ยวหงออกมาก่อน แล้วพูดกับต้าไป๋ว่า “เรามาเรียงลำดับกันก่อนดีกว่า เจ้าดอกไม้นี่ชื่อเสี่ยวหง นางสร้างพันธะสัญญาก่อนเจ้า ให้มันเป็นพี่ใหญ่แล้วกัน!”
เสี่ยวหงรู้ว่าต้าไป๋ทำพันธะสัญญากับอันหลินแล้ว บัดนี้จึงเริ่มโบกใบไม้เขียวชอุ่มไปมาเป็นการทักทาย
ต้าไป๋ไม่มีปัญหากับการเรียงลำดับแบบนี้ เพียงแค่ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วเจ้าอัปลักษณ์เล่า มันเป็นพี่รองหรือ”
เจ้าอัปลักษณ์ได้ฟังก็เกาหัวอย่างเก้อเขินแล้วพูดว่า “ข้ายังไม่ได้ทำพันธะสัญญาสัตว์เลี้ยงกับพี่อันเลย”
อันหลินลูบตัวเจ้าอัปลักษณ์ที่อยู่บนไหล่ “ช่วงนี้ยุ่งเหลือเกิน ข้ากับเจ้าอัปลักษณ์ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย”
ต้าไป๋ดีใจ “ฮ่าๆ งั้นข้าก็เป็นพี่รองล่ะสิ! เจ้าอัปลักษณ์รีบทำพันธะสัญญากับเจ้านายเร็วเข้า เช่นนั้นชะตาของพวกเจ้าก็จะเชื่อมต่อกัน เส้นทางแห่งอนาคตต้องไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน ถ้าไม่ติดตามเจ้านายเจ้าจะต้องเสียใจทีหลังแน่!”
อันหลินยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ยี่หระ แต่กลับเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ‘ต้าไป๋ ทำได้ดี! กำลังเสริมแบบนี้…ฉันไม่รู้เลยว่าจะชมแกอย่างไรเลย!’
ความคิดของต้าไป๋บริสุทธิ์ยิ่งนัก ชัดเจนว่าอยากมีน้องสามเพิ่มอีกคน เช่นนั้นมันก็จะได้เป็นพี่รองแล้ว
ใบหน้าของเจ้าอัปลักษณ์ลังเลเล็กน้อย ดวงตาสุกใสดุจโคมไฟจ้องมองอันหลิน พูดเสียงประหม่าว่า “แต่ว่าข้า…ข้าจะไหวจริงหรือ”
วีรกรรมเรื่องเล่าของอันหลิน จากการได้คลุกคลีในระยะเวลานี้ เจ้าอัปลักษณ์ได้รู้ไม่น้อยเลย
ด้วยเหตุนี้มันจึงเข้าใจว่า นับจากนี้ไปอันหลินต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเป็นแน่ บุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้จะรับมันเป็นสัตว์เลี้ยงจริงหรือ
เมื่อเห็นเจ้าอัปลักษณ์ไม่มีความมั่นใจ แสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจ อันหลินก็ตกใจเหมือนกัน ต่อมาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเจ้าอัปลักษณ์กังวลใจอะไร
คุณพระ ฉันอยากให้แกเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันจะแย่ แต่แกกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจงั้นเหรอ
รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของอันหลินทันที พูดเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าเป็นสหายของข้า การทำพันธะสัญญาเพียงแค่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ไม่มีปัญหาหรอก”
ช่างเป็นเสียงที่อบอุ่นอ่อนโยนเสียนี่กระไร…
เจ้าอัปลักษณ์ได้ฟังก็ตื้นตันเป็นล้นพ้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ “ได้ ขอบคุณพี่อัน มาเถอะ ทำพันธะสัญญากันเถอะ!”
ด้วยเหตุนี้ เลือดสีทองของอันหลินจึงหยดลงบนหน้าผากของเจ้าอัปลักษณ์ ทั้งสองทำพันธะสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
‘ติ้ง ภารกิจสำเร็จ!’
เสียงของระบบดังขึ้น ทำให้อันหลินลิงโลดในใจ
เนื้อหาทั้งหมดของหกกระบี่เทพสงคราม เพลงกระบี่เทพสงครามขั้นกลางหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา
กระบวนท่า เคล็ดวิชา แนวคิด ความตระหนักรู้ในมรรควิถีและความหมายที่แท้จริง…
ยามนี้เขาเพิ่งพบว่า หกกระบี่เทพสงครามเป็นเพลงกระบี่ที่ลึกล้ำเพียงใด ระดับความประณีตพบเจอได้ยาก ความหมายที่แท้จริงของกระบี่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้
“เจ้าอัปลักษณ์ มาประลองยุทธ์กับข้าหน่อย!”
กระบี่ของอันหลินกระหายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว จึงโพล่งขึ้นมาทันใด
เจ้าอัปลักษณ์ได้ฟังก็คืนสู่ร่างเดิม มือถือกระบองเงิน ระเบิดพลังอันแข็งแกร่งยิ่ง
แม้มันจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ อันหลินถึงอยากฝึกปรือขึ้นมา แต่การประลองมีประโยชน์ต่อการเพิ่มความสามารถในการรบ มันไม่ปฏิเสธหรอก
“ดีมาก ข้าเริ่มละนะ!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม