ก้นเหวลึกนับหมื่นเมตร ผิวดินเป็นชั้นหินที่แตกละเอียด
ภายใต้แสงจากไฟฉายของเจ้าอัปลักษณ์ พวกเขาพบว่าบางแห่งมีร่องดำสนิทขนาดใหญ่ สามารถลงไปสำรวจได้อีก เห็นได้ชัดว่าที่นี่ยังไม่ใช่จุดที่ลึกที่สุด
แต่หลังผ่านการหารือของทุกคน จึงตัดสินใจว่าจะลองสำรวจละแวกนี้ก่อน
การปรากฏตัวของปีศาจร้ายไม่มีแบบแผน ไม่แน่ว่าเดินอยู่ดีๆ อาจจะพบเข้าโดยบังเอิญก็เป็นได้
“เจ้าอัปลักษณ์ ไฟของเจ้า…อา ไม่สิ ตาของเจ้าสว่างกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม” สวีเสี่ยวหลานกวาดตามองรอบกายที่มืดมิดจนน่ากลัว แล้วพูดขึ้นมาอย่างหวั่นวิตก
เจ้าอัปลักษณ์ทำหน้าจนปัญญา “อย่าว่าแต่สว่างกว่านี้เลย ประเดี๋ยวพลังเนตรโชติช่วงของข้าจะหยุดแล้ว”
ทุกคนได้ยินก็ตกใจ
“อะไรนะ! เจ้าอัปลักษณ์ เดี๋ยวเจ้าจะปิดไฟหรือ!” อันหลินอุทานเสียงดัง
“ไม่เอานะน้องสาม ยังไม่ถึงเวลานอนเลย ปิดไฟทำไม โฮ่ง!” ต้าไป๋โอดครวญ
ใบหน้าของเจ้าอัปลักษณ์กระตุก “ข้าใช้พลังเช่นนี้อยู่ตลอดนั้นเหนื่อยมาก ย่อมต้องพักเป็นธรรมดา”
อันหลินถอนหายใจ “เจ้าอดทนอีกได้นานแค่ไหน”
แววตาของเจ้าอัปลักษณ์ฉายแววใคร่ครวญ “สิบวินาที”
อันหลิน “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
พรึ่บ
ไฟดับลงแล้ว
รอบกายมืดสนิท มืดอย่างแท้จริง…
สายลมเย็นเยียบผ่านมา อันหลินรู้สึกว่าตนขนลุกชูชัน
“อันหลิน บรรยากาศดุจหนังสยองขวัญเช่นนี้จะทำอย่างไร วังเวงนัก…เจ้าว่าจู่ๆ จะมีผีสาวไร้หัวโผล่มาไหม…” สวีเสี่ยวหลานหดร่างอรชรเล็กน้อย พลางพูดอย่างนึกหวาดหวั่น
“บอกเจ้าตอนอยู่แดนมนุษย์แล้วว่าอย่าดูหนังสยองขวัญให้มาก ตอนนี้กลัวแล้วหรือ” อันหลินเบะปาก พูดอย่างนิ่งเฉย
เขาถือเป็นคนที่ค่อนข้างใจกล้า ไม่ว่าบรรยากาศจะวิเวกวังเวงมากขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้เขากลัวได้
จุดนี้สามารถพิสูจน์ได้จากวีรกรรมที่หลอกเถียนหลิงหลิงจนร้องไห้ ทำผีสาวตาโบ๋ร้องไห้ตอนอยู่แดนมนุษย์
“เอาอย่างนี้ ข้าจะเดินนำหน้าเอง!”
อันหลินคิดว่าได้เวลาแสดงความมาดแมนแล้ว จึงพูดพร้อมกับตบหน้าอกปุๆ
เพิ่งก้าวไปข้างหน้า ขาข้างหนึ่งของเขาก็เหยียบอากาศ ร่างกายร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว
“ช่วยด้วย! อ๊าก…”
อันหลินตกใจจนร้องโหยหวน ผีน่ะเขาไม่กลัว แต่เขากลัวความสูง!
ไม่รู้ว่าตกลงไปมากเท่าใดจึงจะนับว่าน่ากลัวที่สุด!
“อันหลิน!”
“พี่อัน!”
คนที่เหลือตะโกนด้วยความตกใจ
“ไม่…ข้าไม่เป็นไร” อันหลินขี่ก้อนอิฐแล้วเหาะขึ้นมาช้าๆ ขวัญหายจนเหงื่อโชก
ระหว่างที่เขาตกลงไป คล้ายว่าจะเห็นดวงตาสีเขียวนับไม่ถ้วน แต่เมื่อกะพริบตาก็หายไปเสียแล้ว มันทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย
อันหลินกลับขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง เมื่อใช้พลังเซียนเปลวเพลิง พบว่าด้านหน้าเต็มไปด้วยรอยแยกประหนึ่งใยแมงมุม
“หากไม่มีแสงไฟ ไม่มีทางเดินได้เลย” ต้าไป๋กวาดตามองแวบหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราผลัดกันใช้พลังเซียนส่องแสงดีไหม”
อันหลินถอนหายใจ “คงต้องทำอย่างนั้นแล้วล่ะ ทุกคนใช้พลังเซียนระวังลมปราณด้วย ไม่อย่างนั้นหากเจอศัตรูเข้าจะยุ่ง”
พูดจบ เขาก็กินยาบำรุงลมปราณเข้าไปหนึ่งเม็ด รวบรวมเปลวไฟไว้ที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าช้าๆ
เปลวไฟส่องสว่างได้เพียงรัศมีไม่กี่จั้ง ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงระแวดระวังกันมาก
เดินไปได้ครู่หนึ่ง ยังคงไม่พบเจออะไร อันหลินเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าที่นี่มีสิ่งมีชีวิตหรือไม่กันแน่
“สวบสาบ…”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาแต่ไกล
เสียงไม่ได้มาจากด้านหน้าเพียงเท่านั้น แต่มาจากทุกสารทิศ
พวกเขายืนเป็นวงกลมโดยไม่รู้ตัว เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันสัตว์ประหลาดรอบทิศ
แสงสีเขียวดุจดวงดาวเดียรดาษเริ่มปรากฏให้เห็นในความมืด ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ
“มีเยอะมาก!” เจ้าอัปลักษณ์พูดพร้อมกับกำกระบองเงินแน่น
อันหลินก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่มากมาย ตอนนี้กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ และจุดสีเขียวเหล่านั้นก็คือดวงตาของสัตว์ประหลาดนั่นเอง
เขาชักกระบี่พิชิตมารออกมา ในเวลานี้ จำต้องใช้หกกระบี่เทพสงครามแล้ว
“เดี๋ยวข้าจะใช้วายุวิหคชาด ทำการโจมตีสามร้อยหกสิบองศา” สองนิ้วของสวีเสี่ยวหลานเคลื่อนไหวประสานอินอย่างรวดเร็ว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม