หุบเหวหมื่นกาลีอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด มีแสงสว่างเพียงน้อยนิด
กองไฟลุกโชน พวกอันหลินนั่งล้อมวงกัน
“เจ้าแน่ใจนะว่าเนื้อนี่กินได้” สวีเสี่ยวหลานมองเนื้อเต่ายักษ์ด้วยสีหน้าลังเล
“วางใจเถอะ ตลอดหนึ่งปีกว่ามานี้ เต่าปีศาจหุบเหวที่ข้าเคยกินมีไม่ต่ำกว่าสิบตัวแล้ว ตอนนี้ก็ยังสุขกายสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ” จี่เยี่ยนหลิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“อื้ม…อร่อย! เนื้อเต่าสีแดงย่างแล้วกลิ่นจะหอมกรุ่นกว่า!” อันหลินเริ่มกินอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนใคร
เขาที่เคยลิ้มรสสัตว์ประหลาดทั่วเขตหมื่นเขา ย่อมกินเต่าปีศาจหุบเหวนี่ไม่ละเว้น ไม่มีความกดดันใดเลยสักนิด
“สหายเยี่ยนหลิง หุบเหวหมื่นกาลีเต็มไปด้วยภัยอันตรายซุกซ่อน เจ้าเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ร่วมปีกว่าแล้ว เพื่ออะไรกันหรือ” สวีเสี่ยวหลานถามด้วยความสงสัย
นางไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ว่า การอยู่เพียงลำพังภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งปีกว่านั้น เป็นความรู้สึกอย่างไรกันแน่ อย่าว่าแต่วิกฤตรอบตัว มีอันตรายถึงชีวิตทุกเมื่อเลย เพียงแค่ความมืดมนอันไร้ที่สิ้นสุด และบรรยากาศที่เย็นเยือกอึดอัด นางก็รับไม่ได้แล้ว
อันหลินก็มองจี่เยี่ยนหลิงอย่างฉงนเช่นกัน แม้นางจะอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว แต่การเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญมากเช่นกัน เพราะสาเหตุอะไรกันแน่ ถึงทำให้นางตัดสินใจเช่นนี้
จี่เยี่ยนหลิงฝืนยิ้ม หลุบตาต่ำลง พูดอ้อมแอ้มว่า “ข้ามาตามคนคนหนึ่งที่นี่ หากไม่เจอ ข้าก็จะไม่กลับไปแล้ว”
สวีเสี่ยวหลานยังคงไม่เข้าใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่เจ้าตามหาอยู่ที่นี่”
จี่เยี่ยนหลิงล้วงสร้อยบนลำคอออกมา บนสร้อยมีเพชรที่ส่องแสงสีน้ำเงินเม็ดหนึ่ง “ข้ากับเขาพลัดหลงกันที่นี่ ขอเพียงเพชรเม็ดนี้ยังส่องแสง หมายความว่าเขายังมีชีวิตอยู่”
“ทั้งสำนัก ตระกูล…ทุกหนแห่งที่จะตามหาได้ข้าก็หาจนทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยของเขา”
“แต่เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง ข้ากลับรู้สึกคุ้นเคย ข้ารู้ว่าเขาต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ ถูกจองจำอยู่ที่ไหนสักแห่ง รอข้าไปช่วย!”
เมื่อเห็นความแน่วแน่บนใบหน้าของนาง พวกอันหลินก็เข้าใจแล้วว่า หากไม่เจอคนคนนั้น นางจะไม่ยอมไปจากที่นี่เด็ดขาด
อันหลินสอดมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วลูบหัวของเสี่ยวหง
“นายท่าน คนคนนั้นไม่ได้โป้ปด” เสี่ยวหงส่งกระแสจิตบอก
อันหลินพยักหน้า เสนอแนะว่า “อย่างไรก็เตร็ดเตร่ในหุบเหวหมื่นกาลีเหมือนกัน สู้เดินทางไปกับพวกเราดีกว่า เช่นนี้หากพบเจออันตราย ก็จะได้ร่วมมือช่วยกันจัดการ”
จี่เยี่ยนหลิงชะงัก จากนั้นก็พูดอย่างลังเลว่า “ได้จริงๆ หรือ จะไม่เพิ่มภาระให้พวกเจ้าใช่ไหม…”
นางชินกับการเดินเหินท่ามกลางความมืดมิดเพียงลำพังนานแล้ว จู่ๆ ก็มีคนมาชวนให้ร่วมเดินทาง นางกลับทำอะไรไม่ถูก เมื่อคนเพิ่มขึ้น บางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อการตามหาคนของนาง แต่ในทางกลับกัน ก็กลัวว่าการเข้าร่วมของนางจะทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน
“ไม่เป็นไร ไปกับพวกเราเถอะ ไปในที่ที่เจ้าไม่เคยไปมาก่อน! เพราะที่ที่เจ้าเคยไป ก็แน่ใจแล้วว่าไม่มีปีศาจร้าย ประหยัดเวลาเดินทางของพวกเราได้เยอะเลย” สวีเสี่ยวหลานเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม
อดพูดไม่ได้ว่า คำพูดของสวีเสี่ยวหลานได้ผลมาก
จี่เยี่ยนหลิงมองทุกคนอย่างซึ้งใจแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
นางเป็นศิษย์คนสำคัญแห่งสำนักเหวินกู่ของแคว้นเทียนเหอ มีพลังยุทธ์ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย คนที่นางตามหา เป็นคนรักชื่อหวังลู่ พวกเขาพลัดพรากจากกันในหุบเหวหมื่นกาลีเพราะความจลาจลของปีศาจในหุบเหว
กลุ่มหนึ่งตามหาปีศาจร้าย อีกคนตามหาคน อย่างไรเสียก็ตามหาอย่างไร้จุดหมายเช่นเดียวกัน ความจริงการเดินทางร่วมมือก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน
เจ้าอัปลักษณ์ปิดไฟแล้ว จี่เยี่ยนหลิงหยิบลูกแก้วสีขาวออกมา
นี่เป็นไข่มุกราตรี ศาสตราวุธขั้นสูงที่นางซื้อมาโดยเฉพาะ ไม่มีสมรรถนะอื่น ใช้ให้แสงสว่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ให้ความสว่างสูง ปริมาณกักเก็บสูง มีความทนทาน นี่แหละลักษณะเด่นของมัน
“หวังลู่…”
“หวังลู่ เจ้าอยู่ไหม”
จี่เยี่ยนหลิงถือไข่มุกราตรี ตะโกนด้วยเสียงดังกังวาน
แต่เสียงของนางก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับแสงของไข่มุกราตรี ถูกความมืดมนอันไร้ที่สิ้นสุดกลืนกิน ไม่มีการตอบสนองอย่างสิ้นเชิง
พวกอันหลินตามหลังนางเงียบๆ นางตะโกนชื่อของคนคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บางทีอาจเพราะความยืนหยัดของนางได้ผล ในที่สุดเสียงตะโกนก็ได้รับการตอบรับ
“โฮก…” เสียงคำรามดังทุ้มแว่วมาจากที่ไกลๆ
จากนั้น ดวงตาสีทองประหนึ่งโคมไฟขนาดใหญ่สองดวง ก็ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า กลิ่นอายพลังอันแข็งแกร่งก็ถาโถมเข้ามา
สีหน้าของจิ่งเยี่ยนหลิงเปลี่ยนไป ขี่กระบี่ลอยขึ้น เตรียมจะหนีตามความเคยชิน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม