ภาคเรียนใหม่มาถึง
อาคารเรียนของอันหลิน ย้ายมายังสถานที่ซึ่งมีชื่อว่า เขตปีกปัณฑูร มันเป็นเขตเฉพาะของนักเรียนชั้นปีที่สอง
เหล่าหนุ่มสาวของรุ่นใหม่ พากันเดินเข้ามายังประตูของสำนักอย่างไม่ขาดสาย ใบหน้าของแต่ละคนล้วนมีประกายของความสดใส
หนึ่งวันก่อนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ อันหลินกลับมาที่ประตูสำนักอีกครั้ง พลันก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมานิดหน่อย
ยังไม่ทันไร หนึ่งปีก็ผ่านไปแล้ว…
ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่รู้อะไรอยู่เลย
ตรงหน้าประตูนี่แหละ ที่เขาพบเจอกับเพื่อนบำเพ็ญเซียนคนแรกในชีวิต สวีเสี่ยวหลาน
นึกถึงเหตุการณ์ที่ทั้งคู่หัววัวไม่ตรงปากม้า[1]ในคราแรก คนหนึ่งพูดภาษาจีนกลาง อีกคนพูดภาษาบรรพกาลที่พิลึกหายาก เขาก็อดขำไม่ได้
เขาเดินหน้าต่อ มาถึงจัตุรัสเล็กๆ แห่งหนึ่ง พื้นที่ของมันไม่ใหญ่ แต่กลับมีนักเรียนร่วมพันกำลังล้อมมุงดู
ศิลาสีดำขนาดมหึมาตั้งตระหง่านท่ามกลางฝูงชน มีแสงสีขาวผุดออกมาเป็นระยะๆ
อืม…นี่เป็นศิลาตรวจสอบระดับพลังยุทธ์
จำได้ว่าตอนนั้น ฉายา ‘เด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุด’ ซึ่งลือเลื่องไปทั่วสำนักได้มาจากที่นี่
อันหลินยิ้มบางๆ ตอนนี้เขาเป็นนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว แม้เทคนิคจะเบี้ยวไปบ้าง สิ่งที่ก่อตัวเป็นขุมพลังสัตว์ แต่อย่างน้อยก็นับว่าปลาเค็มลืมตาอ้าปากได้แล้ว
น่าเสียดาย…ตอนนั้นไม่มีใครกระโดดออกมาเหยียบย่ำซ้ำเติมเขา ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงฟาดหน้าสักฉาดได้
ศิลาสีดำส่องแสงสีขาวสว่างไสว ตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น : [กายแห่งมรรคขั้นสิบ!]
ผู้คนเริ่มแตกตื่นขึ้นมาชั่วขณะ คำวิจารณ์ต่างๆ นานาก็บังเกิดขึ้นอย่างเกรียวกราว ไม่ว่าจะเป็น ‘โอ้โห สุดยอดเลย!’ หรือ ‘โอ้โห อัจฉริยะชัดๆ!’
“เหยาซิ่ว ห้องหนึ่ง!” เสียงหนักแน่นดังขึ้น
“เย่!”
หญิงชุดเขียวคนหนึ่งโห่ร้องด้วยความดีใจ
ทั้งๆ ที่นางรู้อยู่แล้วว่าตัวเองได้เข้าห้องหนึ่งแน่ๆ แล้ว แต่ก็ควบคุมจิตใจของตัวเองไม่ได้อยู่ดี ใช้วิธีกู่ร้องตะโกนก้องระบายออกมาตามใจตน
หญิงสาวมีผิวขาวดุจหยวก จิ้มลิ้มน่ารัก มัดผมแกละสองขาวยาวระหัวไหล่ แลดูร่าเริงสดใส
บอกตามตรง ในบรรดานักพรตหญิง การมัดผมแกละสองข้างนั้นหายากยิ่ง อันหลินจึงจ้องนางอยู่หลายหน
ขณะนั้นเอง ศิลาสีนิลก็ส่องแสงสีขาวโชติช่วงอีกระลอก จากนั้นฝูงชนที่ล้อมมุงดูก็แตกฮือ ก่อให้เกิดความฮือฮาอย่างใหญ่หลวง
มันเป็นเพียงเพราะอักษรบนศิลาระบุว่า : [ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น!]
“เหยาหมิงซี ห้องหนึ่ง!” เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง
“ที่แท้เขาก็คือเหยาหมิงซี อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักหยินหยางนี่เอง!”
“เหยาซิ่วกับเหยาหมิงซีเป็นพี่น้องกันสินะ พรสวรรค์วิปริตเกินไปแล้ว เป็นกรรมพันธุ์กระมัง”
“ความจริงพวกเขามีชื่อทั่วแคว้นหลิงเจี้ยนแล้ว ต่างก็เป็นอัจฉริยะที่สื่อสารกับศิลากระบี่โบราณได้”
“ทดสอบมาถึงช่วงสุดท้าย ข้าคิดว่ารุ่นเราจะล้มเหลวถึงขั้นไม่มีระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเลยสักคน ยังดีที่มีเหยาหมิงซี…”
“กริ๊ด เหยาหมิงซีหล่อจังเลย!”
มีแฟนคลับเริ่มตะโกนกรีดร้องอย่างทนไม่ไหว
เหยาหมิงซีสวมชุดสีดำ รูปโฉมหล่อเหลา สีหน้าเย็นชา ชวนให้รู้สึกเข้าถึงได้ยาก
เขาเดินออกจากฝูงชนอย่างนิ่งเฉย
เหยาซิ่ววิ่งเหยาะๆ เข้ามา คล้องแขนเขาไว้อย่างยิ้มแย้ม พูดเสียงหวานว่า “สมกับเป็นพี่ชายของข้า อันดับหนึ่งในรุ่นนักเรียนใหม่เป็นท่านแน่นอน!”
เหยาหมิงซียิ้มละมุน แต่ดวงตากลับทอดมองไปไกล เอ่ยเสียงเรียบว่า “ซิ่วเอ๋อร์ สายตาของเราไม่ควรอยู่แค่ในหมู่นักเรียนใหม่ของรุ่นนี้ ต้องวางเป้าหมายไว้ทั้งสำนัก!”
นัยน์ตาสุกใสน่ามองของเหยาซิ่วเป็นประกายวาบ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพี่พูดถูก หวังเสวียนจ้านที่หนึ่งของอันดับเซียน บรรลุระดับแปลงจิตในชั้นปีที่ห้า คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้ต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่เราควรสู้ด้วย”
เหยาหมิงซีขำเบาๆ ไม่สะทกสะท้านมากนัก “หวังเสวียนจ้านเก่งกาจมากก็จริง แต่เจ้ารู้ไหม ในสำนักมีบุคคลระดับตำนานอยู่คนหนึ่ง เจ้าเพิ่งมาจึงยังไม่รู้ เขาต่างหากที่เป็นคนที่ข้าเลื่อมใสศรัทธา…”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม