เมื่อคิดไปคิดมา สุดท้ายอันหลินก็ตัดสินใจให้สวรรค์เป็นผู้กำหนดวิชาเฉพาะ
เขาหยิบลูกเต๋าออกมา หนึ่งแต้มเลือกวิชาปรุงยา สองแต้มเลือกหลอมศาสตรา สามแต้มเลือกค่ายกล สี่แต้มเลือกทักษะการใช้อาวุธ ห้าแต้มเลือกพลังเซียน หกแต้มเลือกพลังจิต
โยนลูกเต๋าขึ้นฟ้า หล่นลงมา กลิ้งหลุนๆ ไป สุดท้ายห้าแต้มก็หงายขึ้น
อืม…ลิขิตฟ้าเป็นแบบนี้ งั้นก็เลือกวิชาพลังเซียนแล้วกัน!
ที่บังเอิญคือ สวีเสี่ยวหลานก็เลือกวิชาพลังเซียนเช่นกัน
แต่นางเล่นไฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลือกวิชาพลังเซียนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
นักเรียนหนึ่งร้อยชีวิตของห้อง มียี่สิบหกคนที่เลือกเรียนวิชาพลังเซียน
ท่าทางวิชานี้จะค่อนข้างเป็นที่นิยมอยู่เหมือนกัน และอาจารย์ผู้ที่รับผิดชอบสอนพวกเขา ยังคงเป็นเซียนพสุธาชางชิงผู้มีผมขาวโพลนเช่นเดิม
นึกถึงตอนนั้น ยานอนหลับยี่ห้อชางชิงทำให้อันหลินทุกข์ทรมานน่าดู
ตอนนี้เขาเป็นปลาเค็มที่ลืมตาอ้าปากได้แล้ว พลิกสถานการณ์อย่างแข็งแกร่ง เล่าเรียนอย่างออกรสออกชาติได้เฉกเช่นเพื่อนร่วมชั้น และสามารถหัวเราะพร้อมกันทุกคนได้ยามยกตัวอย่างมุกตลก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความพยายามของเลือดและน้ำตา ความขมขื่นมีเพียงอันหลินผู้ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์เท่านั้นที่รู้ซึ้ง
บนเนินเขากว้างขวางแห่งหนึ่ง ที่นี่กลายเป็นสถานที่ถ่ายทอดวิชาพลังเซียน
นักเรียนมากมายนั่งล้อมวงกัน เซียนพสุธาชางชิงยืนอยู่ตรงกลาง อธิบายทฤษฎีพลังเซียนอย่างอิ่มเอมใจ
“พลังเซียนขั้นต่ำมีเพียงรูปร่าง พลังเซียนขั้นสูงมีทั้งรูปร่างและความคิด ความคิดที่ว่านี้ ก็คือจิต หลอมรวมจิตเข้ากับพลังเซียน จะทำให้พลังเซียนมีชีวิตและความเจริญเติบโต…”
อันหลินฟังคำพูดของเซียนพสุธาชางชิง เริ่มการฝึกซ้อมเชิงปฏิบัติของเขา
หากให้เขาคิดค้นพลังเซียนที่ยิ่งใหญ่ ยังขาดประสบการณ์อีกมาก แต่ถ้าปรับปรุงพลังเซียนละก็ ยังพอจะลองดูได้
พลังเซียนที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยในตอนนี้คือหมัดสะเทือนขุนเขากับคาถาเรียกสายฟ้า ส่วนหกกระบี่เทพสงครามนั้น มันค่อนข้างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ซ้ำยังแฝงด้วยแก่นแท้ ไม่ต้องคิดจะปรับปรุงแล้ว
หรือจะผสานคาถาเรียกสายฟ้าเข้ากับหมัดสะเทือนขุนเขา ให้เป็นหมัดสะเทือนขุนเขาอัสนี
นัยน์ตาของอันหลินทอประกายวาบ พูดแล้วลงมือทันที
หลังชางชิงบรรยายเสร็จสิ้นแล้ว ก็ถึงเวลาปฏิบัติอย่างอิสระ
เขาเลือกที่โล่งแห่งหนึ่ง เริ่มปรับปรุงพลังเซียนตามวิธีที่อาจารย์สอน
หมัดสะเทือนขุนเขาเป็นพลังเซียนเทพสงครามขั้นต้น เพราะผสานกับพลังแห่งธรณินของพลังบงกชพสุธา อานุภาพจึงเพิ่มทะยาน กระตุ้นได้ในพริบตา
ส่วนคาถาเรียกสายฟ้าเป็นพลังเซียนชนิดหนึ่งที่ประกอบจากมรรควิถีและพลังอัสนี ชักนำสายฟ้าในมิติ ต้องการระยะเวลาในการสั่งสมพลังงานราวๆ สิบวินาที
เท่ากับว่า การปล่อยหมดสะเทือนขุนเขาหนึ่งครั้ง ต้องใช้เวลาระดมพลังอย่างน้อยสิบวินาที
“อืม…ลองพลังทำลายล้างก่อนแล้วกัน”
ปลายนิ้วซ้ายของอันหลินมีสายฟ้ากะพริบแปลบปลาบ มือขวากำหมัดแน่น แสงสีทองปกคลุมเหนือกำปั้น กระจายคลื่นอันแข็งแกร่ง
จากนั้นก็ชักนำสายฟ้ามายังกำปั้น
ขั้นตอนนี้ต้องควบคุมสัดส่วนของพลังงานให้ดี มิเช่นนั้นจะระเบิดเพราะการสูญเสียการควบคุมของพลังงานได้
เปรี๊ยะๆ…กระแสไฟสีน้ำเงินกลางอากาศส่งเสียง ค่อยๆ อิงอาศัยบนกำปั้นเขา
เขารู้สึกถึงการปะทะและการผสานของพลังงานที่แตกต่างกันทั้งสองชนิด ในใจตื่นเต้นยิ่งนัก หลังสายฟ้าหลอมรวมกับพลังแห่งธรณิณของหมัดสะเทือนขุนเขาแล้ว กลายเป็นกระแสไฟสีทอง
“เท่…เท่จังเลย!”
อันหลินหายใจถี่กระชั้น เขาตะลึงกับความเท่ของกระแสไฟสีทองบนหมัดของตัวเอง
เมื่อดูดซึมอัสนีสวรรค์ของคาถาเรียกสายฟ้าแล้ว อานุภาพที่แฝงในกำปั้นของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวอย่างมหันต์ และพลังงานก็บรรลุถึงขั้นจวนจะระเบิดแล้วเช่นกัน ได้เวลาปล่อยออกไปแล้ว
“หมัดสะเทือนขุนเขาอัสนี!”
อันหลินตะโกนลั่นพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป
ตูม!
พลังงานที่น่ากลัวปะทุออกอย่างสิ้นเชิง กระแสไฟและแสงทองระเบิดปนเปกัน ม้วนตัวเขมือบไปรอบทิศ
บาเรียกระแสไฟสีทองอันน่าสะพรึงแผ่กระจายปานลูกบอล ระเบิดทุกสรรพสิ่งภายในรัศมีห้าจั้งจนดำเกรียมและแหลกละเอียด

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม