ภายในห้องกักบริเวณของสำนัก
อันหลินได้ทราบข่าวที่น่าเศร้าอย่างยิ่งนั่นก็คือ สืบเนื่องมากจากเขากับหงโต้วต่างก็เป็นตัวแทนของกลุ่มอิทธิพล จึงกักบริเวณเพียงสองวัน หลังจากนั้น เขาก็ต้องออกไปเข้าร่วมการชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาอยู่ดี!
เมื่อรู้ข่าวนี้ เขาก็นั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก รู้สึกว่าไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด
ตรงข้ามห้องเขา หงโต้วอ้าปากหินแกร่งของมัน ส่งเสียงหัวเราะปานรถแทรกเตอร์ “ฮ่าๆ ๆ…รอให้ข้าออกไป ได้เห็นดีกันในงานมรรคเทศนาแน่!”
พลังต่อสู้ของทั้งสองยิ่งใหญ่ทั้งคู่ จึงไม่สามารถกักขังไว้ในห้องเดียวกัน มิเช่นนั้นคงเกิดศึกใหญ่อีกแน่
อันหลินคร้านจะสนใจคำถากถางของหงโต้ว สงครามน้ำลายไม่มีความหมายอะไร
ผ่านไประยะหนึ่ง เหล่าแฟนคลับของอันหลินก็ส่งของกินหลากหลายชนิดมาให้เขา
เขากินอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าหงโต้ว หงโต้วทำได้เพียงมองดูตาละห้อย
กักบริเวณสองวันไม่มีอาหารให้กิน อย่างไรเสียก็ไม่มีทางอดตาย
“อืม…ปีกไก่น้ำแดงช่างอร่อยเหลือเกิน ทั้งหอมทั้งกรอบ เนื้อสดใหม่…”
“เนื้อที่ราบสูงของเขาลวี่ชางก็ไม่เลวเหมือนกัน เนื้อหนุบหนับ แถมยังสุกแบบมีเดียมเวลอีกด้วย!”
อันหลินกินไปพูดไป กลิ่นหอมของอร่อยอบอวลไปทั่วห้องกักขัง ยั่วน้ำลายยิ่งนัก
หงโต้วนัยน์ตาวาวโรจน์ จ้องอาหารนานาชนิดข้างอันหลินไม่วางตา กลืนน้ำลายเอื๊อก พูดด้วยเสียงดังสนั่นว่า “หึ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะยั่วข้าได้หรือ ใจข้าแกร่งดุจหินผา”
อันหลินเหลือบมองหงโต้วแวบหนึ่งแล้วยิ้มเยาะ “แกร่งดุจหินผาหรือ เจ้าคนโมโหง่าย ยังมีหน้ามาบอกว่าตนใจแกร่งดุจหินผาอีก”
ไฟโทสะโชติช่วงพลันสุมในอกเมื่อหงโต้วได้ฟัง พูดอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าว่าใครโมโหง่าย!”
อันหลินกระตุกยิ้ม “ให้ตายสิ ไม่ต้องให้ความร่วมมือขนาดนี้ก็ได้…เจ้าเป็นหมูหรือ เฮ้อ ไม่คิดเลยว่าข้าต้องมาติดอยู่ในห้องกักบริเวณเพราะคนโง่อย่างเจ้า…”
เขาส่ายหน้า แสดงท่าทีทอดถอนใจ นึกเสียใจในภายหลัง
“เจ้ากล้าด่าข้า ข้าอัดเจ้าให้ตายตอนนี้ได้เลยเจ้าเชื่อไหม!”
หงโต้วถลึงตาจนกลมกว้าง หินแกร่งทั่วร่างดังกรอบแกรบ มาดดูน่าสะพรึง
“มาอัดข้าสิ หากไม่ลงมือละก็ เจ้าก็คือลูกชายข้า หากว่าลงมือ…เจ้าเป็นหลานชายข้า!” อันหลินหาวหวอดๆ จ้องหงโต้วอย่างเย้ยหยัน
จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ นั่นก็คือ หากว่าทะเลาะวิวาทอีกครั้ง ระยะเวลาการกักบริเวณจะเพิ่มขึ้น
“กล้านัก!” หงโต้วสติขาดผึงแล้วเมื่อถูกยั่วโมโหเช่นนี้
ร่างกายของมันระเบิดเปลวไฟอันร้อนระอุ หลอมแท่งเหล็กที่ขวางอยู่ข้างหน้ามันให้ละลาย ตรงดิ่งไปหาอันหลินทีละก้าวราวกับเป็นเทพเจ้าปีศาจบรรพกาล
“ฮ่าๆ ดูแล้วเจ้าคงตั้งใจจะเป็นหลานข้าสินะ” อันหลินกระหยิ่มยิ้มย่อง
หงโต้วระเบิดโทสะทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หน้าอกปล่อยเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูงออกมาทันใด เสียงดุจอสนีบาต ตะโกนดังลั่นว่า “ไฟนรกบงกชบรรลัย!”
อันหลินเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน มือซ้ายเรียกสายฟ้า มือขวาส่องแสงสีทอง “หมัดสะเทือนขุนเขาอัสนี!”
นี่เป็นฉบับย่อของหมัดปรมาณูอัสนี เป็นพลังเซียนที่ไม่เพิ่มจิตอนธาการดั้งเดิม แต่ถึงกระนั้น อานุภาพก็น่ากลัวอย่างยิ่งเช่นกัน!
ขณะเดียวกัน บริเวณที่ตั้งของหน่วยบังคับใช้กฎหมายซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องกักขังของสำนัก
ชายร่างกำยำคนหนึ่งตบไหล่หยางซิน ปลอบใจว่า “หยางซิน ในฐานะหัวหน้าหน่วยบังคับใช้กฎหมาย เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นใคร หากว่าอยู่ในสำนัก ก็จำต้องปฏิบัติตามกฎ ข้อนี้เชื่อว่าฉินเหวินน่าจะเข้าใจเช่นกัน เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
“ขอรับ ผู้การหลี่หย่ง!” หยางซินทำได้เพียงพยักหน้า แต่ในใจขมขื่นยิ่งนัก
หากฉินเหวินเข้าใจจริง คงไม่แก้จากกิจกรรมออกไปชมจันทร์ด้วยกัน เป็นกิจกรรมซื้อน่องไก่ส่งมื้อดึกให้อันหลินหรอก…
“ไปกันเถอะ เราไปดูอันหลินกับหงโต้วกันหน่อย”
“หวังว่าตอนนี้พวกเขาจะสำนึกในความผิดของตน เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นมิตรภาพ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ” หลี่หย่งยิ้มพลางพูดกับหยางซิน
หยางซินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “พวกเขาเป็นตัวแทนของสี่ทิศทั้งคู่ ต้องรู้เป็นแน่ว่าควรทำอย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะทำความรู้จักกัน กลายเป็นเพื่อนกันในห้องกักขังไปแล้วก็ได้”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างรู้ใจขณะที่สนทนา เริ่มกอดบ่ากอดคอกัน มุ่งหน้าไปยังอาคารสีขาว
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม