“ทุกคนระวังตัวด้วย นี่เป็นลมทมิฬที่มีพลังทำลายล้างรุนแรง ทุกคนพยายามเก็บงำกลิ่นอายของตัวเอง ยิ่งเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มาก จะทำให้อานุภาพของพวกมันเพิ่มพูนได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น” จักรพรรดิจื่อหยางเอ่ยเสียงจริงจัง
ทุกคนพากันเก็บงำพลังเมื่อได้ฟังดังนั้น ความรวดเร็วในลมทมิฬลดลงไม่น้อยเลย แต่ยังคงรวมตัวกันอย่างเชื่องช้า
อันหลินมองจื่อหยาง “ตอนนี้จะทำอย่างไร จะให้พวกเรารอความตายเฉยๆ ไม่ได้หรอกกระมัง”
“อย่าร้อนรนไป นับแต่นี้ไป อานุภาพของลมทมิฬจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เมื่อจวนจะสัมผัสพวกเราแล้ว อานุภาพของลมทมิฬคงจะลดลงพอสมควร ครั้นถึงตอนนั้น พวกเราค่อยใช้วิชาป้องกันตัวพุ่งออกไปในอึดใจเดียว! ทำเช่นนี้อาจจะบาดเจ็บนิดหน่อย แต่น่าจะไม่อันตรายถึงชีวิต” จักรพรรดิจื่อหยางพูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินว่าจะบาดเจ็บ ใบหน้าของพญางูขาวก็เริ่มถอดสี
เสี่ยวชิงแลบลิ้น ออกอาการไม่ชอบใจ “ยิ่งพลังของลมทมิฬโจมตี จะยิ่งอ่อนกำลัง ไยพวกเราไม่เป็นฝ่ายลดทอนพลังงานของมันเล่า”
“แต่หากเจ้าใช้พลังเซียน กลิ่นอายจะถูกเปิดเผย นำมาซึ่งการตอบโต้ที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทำเช่นนี้ไม่ได้นะ” จักรพรรดิจื่อหยางส่ายหน้า
“ใช้สิ่งไม่มีชีวิตไปลดทอนก็สิ้นเรื่อง” งูมรกตกะพริบตาปริบๆ
จักรพรรดิจื่อหยางถูกตอกจนพูดไม่ออกอีกครั้ง
“แต่พลังโจมตีของลมทมิฬรุนแรงอย่างยิ่ง สิ่งไม่มีชีวิตทั่วไปจะดับสูญทันทีที่สัมผัส ผลลัพธ์ไม่ดีแน่นอน หากเป็นอาวุธเทวะละก็ น่าจะไม่มีปัญหา แต่ข้าไม่กล้ารับประกันว่าอาวุธเทวะจะไม่ได้รับความเสียหาย” แหวกลมทมิฬแล้ววางอาวุธเทวะไว้ตรงนั้นเพื่อลดทอนพลังงานของลมทมิฬอย่างต่อเนื่อง เป็นความคิดสองอย่างที่แตกต่างกัน จื่อหยางจึงขอเตือนไว้ก่อน
ไม่รอให้ใครตอบ อันหลินก็กระทืบเท้า ด้านซ้ายโอบโลลิน้อย มือขวาเป็นสาวน้อยน่ารัก
“ใหญ่ขึ้นๆ ๆ…ไปเลย!”
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้อง ก้อนอิฐสีดำมโหฬารก็พุ่งชนลมทมิฬทันใด
ชั่วขณะนั้น พลังงานที่รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็เริ่มฉีกทึ้ง
ภาพต่อมาก็คือ ก้อนอิฐสีดำหยุดนิ่งกลางลมทมิฬประหนึ่งเต่ายักษ์ ไม่กระดิกกระเดี้ย
ลมทมิฬที่มีอานุภาพน่าตะลึงค่อยๆ เบาบางลงไป ถูกลดทอนพลังงานจนเกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ด้วยประการละฉะนี้
“ไปกันเลย!”
พวกอันหลินจึงลอดผ่านรูโหว่นั่น รอดพ้นจากการปิดล้อมของลมทมิฬได้อย่างปลอดภัย
“โอ้โฮ ก้อนอิฐของท่านเจ้าแห่งพิษสุดยอดไปเลย ทนทานมาก!” พญางูขาวนัยน์ตาสุกใส จ้องมองอันหลินด้วยความชื่นชม โดยลืมสังเกตไปเลยว่าเอวบางคอดกิ่วของนางยังอยู่ในอ้อมแขนของอันหลิน
“แค่กๆ…” อันหลินรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของพญางูขาว
เขาวางเถียนหลิงหลิงกับพญางูขาวลงบนก้อนอิฐแล้วค้นหาร่องรอยของสุสานอีกครั้ง
อืม ความรู้สึกที่ได้อุ้มสาวน้อยสองคน ความจริงก็ไม่เลวเลย แต่สายตาที่จู่โจมกะทันหัน กลับทำให้เขาสะดุ้งโหยง คู่หนึ่งมาจากสวีเสี่ยวหลาน อีกคู่มาจากจักรพรรดินีปี้ฉง
จักรพรรดิจื่อหยางกลับเงียบกริบตลอดทาง ตกอยู่ในสภาวะกังขาในตัวเอง
“ทุกคนดูนั่นสิ ข้างหน้ามีหมอกแน่ะ!” พญางูขาวตะโกนลั่น
ทุกคนจดจ้องเบื้องหน้า ด้านหน้ามีม่านหมอกขาวโพลน ทำให้คาดเดาไม่ออกว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไร
ในตอนนั้นเอง พวกอันหลินต่างก็จับจ้องไปที่งูมรกตตัวนั้น
จักรพรรดิจื่อหยางที่เห็นภาพนี้รู้สึกแน่นหน้าอกอีกแล้ว
สุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งแผ่นดินจะสูญสิ้นความน่าเกรงขามแล้วหรือ
“หมอกเป็นสภาวะของเหลวของปราณสงคราม ปราณสงครามปกคลุมหนาแน่นเช่นนี้บ่งบอกว่า ภายในม่านหมอกต้องมีของดีเป็นแน่ แน่นอนว่า อันตรายก็ไม่ทราบเช่นกัน” เสี่ยวชิงเห็นทุกคนมองนางก็เอื้อนเอ่ยช้าๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันที
“สหายจื่อหยาง รบกวนเจ้าช่วยเปิดทางด้วย” อันหลินพูดอย่างเริงร่า
มุมปากของจักรพรรดิจื่อหยางกระตุก ในใจมีคำหยาบที่อยากสบถออกมาเหลือเกิน
จักรพรรดิจื่อหยางที่มีเกาะเปลวเพลิงปกคลุมทั้งตัว พุ่งเข้าไปในม่านหมอกขาวโพลนก่อนใคร
พวกอันหลินติดตามอยู่ด้านหลัง ล้วนอยู่ในสภาพพร้อมรบ เตรียมใจมาอย่างเต็มเปี่ยม
“มีภูเขาหรือ”
แววตาของจักรพรรดิจื่อหยางสว่างวาบ ราวกับมองทะลุม่านหมอกหนาแน่นได้ เห็นเงาดำที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ไม่สิ รีบหลบเร็ว!” จู่ๆ เขาก็ตะโกนลั่น
เงาดำคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับพลังอันน่ากลัวชวนให้หยุดหายใจ แหวกม่านหมอกด้วยความเร็วที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวด ทุกคนตอบสนองฉับไว ขี่ศาสตราเวทหนีกระเจิดกระเจิงในบัดดล
โครม
ภูเขายาวเหยียดลูกหนึ่งหล่นลงทันใด กระแทกผิวดินในรัศมีร่วมร้อยจั้งจนทรุดลงไป!


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม