ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทำให้ทุกคนในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนตกใจ
ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดไม้ ทอดมองร่างที่อยู่ไกลออกไปด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“เซียนกระบี่มิ่งหยวน ในเวลาแบบนี้ ดูเหมือนเจ้าต้องสอนอยู่ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวที่มีรูปร่างสูงระหง สวมโค้ทสีเหลือง ใส่แว่นกรอบสีแดงนั่งยิ้มหวานอยู่บนตำราโบราณขนาดใหญ่
“เปลี่ยนเป็นเรียนด้วยตัวเองแล้ว!” เซียนกระบี่มิ่งหยวนพูดอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดอีกครั้งว่า “แม้ผู้อำนวยการจะสั่งห้ามมุงดู แต่ข้าแอบดูไม่รบกวนอันหลินเสียหน่อย นี่เป็นโอกาสหยั่งรู้ของข้าเชียวนะ ข้าจำต้องคว้าไว้!”
ตอนนี้ในแต่ละเขตของแผ่นดินลอยฟ้า นักเรียนกับอาจารย์นับไม่ถ้วนต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่าง
เหล่านักเรียนต่างก็ทำหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เริ่มกระซิบกระซาบกันแล้ว
“คุณพระ เมื่อครู่ฟ้ายังปลอดโปร่งอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงมีเมฆดำปกคลุมล่ะ!”
“หรือจะมีมรสุม”
“เจ้าโง่หรือ นี่เป็นสำนักลอยฟ้าแห่งสรวงสวรรค์ บนฟ้าสูงเช่นนี้ จะมีเมฆดำหนาทะมึนเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“หรือจะมีศัตรูที่น่าสะพรึงมาเยือน จึงทำให้ก่อนมรสุมเช่นนี้”
“เหลวไหล! เจ้าโง่ที่ไหนกล้ามาอวดดีที่สรวงสวรรค์ เบื่อชีวิตหรืออย่างไร!”
“หรือจะมีคนข้ามอสนีบาต คงมีเพียงการข้ามอสนีบาตเท่านั้นที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้”
“คุณพระ หรือจะเป็นศิษย์พี่หลิว!”
…
ในเวลาเช่นนี้ อาจารย์ล้วนแต่อธิบายอย่างจริงจังว่า นั่นเป็นเพราะรองผู้อำนวยการอวี้หัวกำลังสรรสร้างวิชาเซียน บอกนักเรียนว่าอย่าตื่นตระหนกไป ตั้งใจเล่าเรียน
แน่นอนว่ายกเว้นห้องเรียนที่ถูกปรับให้เรียนด้วยตัวเองนับสิบกว่าห้อง
นักเรียนของห้องที่ต้องเรียนด้วยตัวเองแตกฮือ ขาดเพียงโดดเรียนพุ่งออกจากห้องเท่านั้น
นักเรียนแทบจะทุกคนพากันวิจารณ์กันอื้ออึงว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติให้ครั้งนี้สื่อถึงอะไร ยามพวกเขาสัมผัสได้ว่ามีพลังงานที่น่ากลัวซัดสาดในชั้นเมฆ คนส่วนใหญ่ก็คาดเดาได้แล้วว่าเกี่ยวข้องกับการข้ามอสนีบาต ผู้คนมากมายจึงไล่อันดับเซียนของสำนักหนึ่งรอบ สุดท้ายพบว่ามีเพียงหลิวเชียนฮ่วนกับอันหลินที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
ส่วนเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงนับรวมอันหลินที่มีพลังระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณด้วย มันเกี่ยวข้องกับความมั่นใจอันปริศนาที่ตำนานรั้วสำนักค่อยๆ สั่งสมมา
พวกเขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า การสันนิษฐานที่ไร้เหตุผลเช่นนี้จะใกล้เคียงความจริงปานนี้…
ณ เขาชมจันทร์ อาจารย์ทั้งหลายย่างกรายเข้ามาในพงไพรอย่างเงียบเชียบ อำพรางกลิ่นอายอย่างรู้ตัว ด้วยเกรงว่าจะรบกวนชายหนุ่มบนยอดเขา
“อาจารย์ชางชิง เจ้าไปออกราชการกับหัวหน้าจูของฝ่ายพลังเซียนไม่ใช่หรือ” อาจารย์หญิงคนหนึ่งมองชายชราผมขาวโพลนพลางกล่าวด้วยความแปลกใจ
เซียนพสุธาชางชิงลูบเคราะแล้วยิ้ม “ฮ่าๆ ๆ เมื่อได้รู้ว่าศิษย์ของข้าจะเข้าสู่ระดับแปลงจิต ย่อมต้องกลับมาให้เห็นกับตา อันหลินเป็นคนที่ข้าสอนสั่งมาด้วยตัวเอง ตั้งแต่กายแห่งมรรคขั้นศูนย์ถึงระดับแปลงจิต ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”
อาจารย์หญิงได้ฟังมุมปากก็กระตุก แต่ละประโยคของชางชิงไม่มีปัญหา แต่ทำไมฟังแล้วถึงได้ไม่รื่นหูเช่นนี้เล่า…
ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของอันหลินอยู่ที่ท้องนภา ไม่สนใจใยดีเรื่องที่เกิดขึ้นรอบกาย
เขารู้สึกได้ว่าพันธนาการบางอย่างในร่างกายแตกทลายแล้ว ขุมพลังสัตว์ในกายสว่างโชติช่วง แสงสีทองอัดแน่นเต็มทะเลปราณ เขารู้ว่านี่เป็นเค้าลางที่ขุมพลังสัตว์จะหลอมละลาย
ยามสัตว์ภูตแปลงจิต ขุมพลังสัตว์ในกายจะละลาย แยกออกเป็นสอง
หนึ่งกลายเป็นของเหลวแทรกซึมลงในเส้นชีพจร ขณะที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เส้นเลือด จะสกัดและกระตุ้นความสามารถของพลังปราณด้วยเส้นชีพจรแทนขุมพลังสัตว์
อีกหนึ่งจะกลายเป็นพลังจิตที่เลื่อนลอย ผสานกับดวงจิต ทำให้ดวงจิตเกิดพลังชีวิต ประหนึ่งมีชีวิตที่สอง นับจากนี้ไป ดวงจิตจะมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ วิธีที่เกี่ยวข้องกับจิตอย่างจิตสำนึกรู้ กระบวนท่าทางพลังจิต จะใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันก็ทำให้ขอบเขตส่วนตนผสานกับดวงจิต แปรสภาพและแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นการแปลงจิตสมชื่อ
แน่นอนว่า ทุกอย่างจะดำเนินการท่ามกลางสายฟ้า!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม