อันหลินสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของมิติรอบกาย ไม่นานตนก็มาถึงลานทรงกลมแห่งหนึ่ง
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าสาดกระทบร่างของเขา ลมอ่อนโชยมาพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ ของต้นเทวะ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนขึ้นจากขุมนรกมายังสรวงสวรรค์
เขาที่ผ่อนคลายทั้งกายใจแล้วหน้ามืด สุดท้ายก็สลบเหมือดไปอย่างสิ้นเชิง
“นายท่าน!” เสียงตะโกนอันร้อนรนแว่วมา
อันหลินรู้สึกว่าศีรษะของตนชนกับหน้าอกที่แข็งเป๊กและมีขน จากนั้นก็สิ้นสติไปทันที
ท่ามกลางความมืดมน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
อันหลินขยับนิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ว่ามือที่นุ่มอุ่นกำลังกุมมือตนไว้แน่น ชวนให้รู้สึกสบายและอุ่นใจ
เขาลืมตาที่พร่าเลือนขึ้น ในคลองจักษุเห็นหญิงสาวสวมชุดสีเขียวพิงกายอยู่ข้างเตียง
ตอนนี้คล้ายว่าจะเป็นกลางคืน แสงเทียนรำไรส่องใบหน้าที่ขาวผ่องของหญิงสาว แลดูอ่อนโยนละมุนละไม
อันหลินมองหญิงสาวข้างกายเงียบๆ ในใจออกจะตื้นตัน ฟื้นขึ้นมาหลังผ่านหายนะ พบว่ามีคนคนหนึ่งคอยอยู่ข้างกายเขา ความรู้สึกแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน
ศีรษะของสวีเสี่ยวหลานเอนพิงขอบหัวเตียงเล็กน้อย แพขนตางดงามลู่ลงมา ลมหายใจเชื่องช้าดุจเมฆหมอกกลางพนา คอเสื้อแหวกออกนิดหน่อย เหนือผิวขาวราวน้ำนมเป็นกระดูกไหปลาร้าที่ประณีต สีผิวพร่างพรายภายใต้แสงเทียน
อันหลินไม่อยากทำให้สวีเสี่ยวหลานที่อยู่ในห้วงนิทราตื่น แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า นอนพิงหัวเตียงแบบนี้น่าจะไม่สบาย เขาคิดว่าเตียงหลังนี้กว้างทีเดียว ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจจะพอ…
ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น สวีเสี่ยวหลานก็ลืมตาขึ้นแล้ว เมื่อนัยน์ตาที่พร่ามัวมองเห็นอันหลิน ก็กระจ่างใสขึ้นมาในพริบตา ประหนึ่งดวงดาวที่งดงามท่ามกลางม่านรัตติกาล
ทั้งคู่สบตากัน ตาสองคู่กะพริบปริบๆ
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง” สวีเสี่ยวหลานชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เอ่อ…ดีขึ้นมากแล้ว แค่รู้สึกหนาวนิดหน่อย มีสักคนมาช่วยทำให้เตียงข้าอุ่นอาจจะดีกว่านี้หน่อย…” อันหลินพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
สิ้นประโยคนี้ หัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม หนาวที่ไหนกัน ตื่นเต้นจะตายชัก ร้อนจะตายอยู่แล้ว!
บรรยากาศทะแม่งขึ้นมาทันที อันหลินสัมผัสได้ว่ามือของสวีเสี่ยวหลานที่กุมมือตนอยู่กระชับขึ้นเล็กน้อย
สวีเสี่ยวหลานโพล่งขึ้นยิ้มๆ ว่า “อย่างนี้นี่เอง…ทาสหมาป่าของเจ้าเฝ้ารออยู่ห้องข้างๆ ข้าไปเรียกมันมาใช้ให้ความอบอุ่นกับเจ้าดีไหม”
พออันหลินได้ยินประโยคนี้ หัวใจก็พลันฝ่อลงหลายขุม รีบพูดเป็นพัลวันว่า “ไม่ต้องแล้ว! จู่ๆ ข้าก็ไม่รู้สึกหนาวแล้ว!”
เห็นอากัปกิริยาที่หวาดผวาของอันหลิน สวีเสี่ยวหลานหรี่ตายิ้ม ดวงตาหยีเหมือนจันทร์เสี้ยวที่น่าหลงใหล ค่อนข้างเย้ายวนใจ
“อืม แต่มนุษย์หมาป่าไม่มีป้ายอาญาสิทธิ์ไม่ใช่หรือ มันตามข้าออกมาได้อย่างไร” อันหลินไม่เข้าใจ
สวีเสี่ยวหลานหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะอธิบายว่า “ข้อนี้แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็รู้สึกแปลกใจ พวกเขาสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มนุษย์หมาป่าทำพันธะสัญญาทาสกับเจ้า ทั้งสองพลังประสานกัน เชื่อมโยงกัน แถมตอนนั้นยังมีสัมผัสทางกายด้วย ป้ายอาญาสิทธิ์จึงวินิจฉัยว่าเจ้ากับมนุษย์หมาป่าเป็นร่างเดียวกัน จึงส่งออกมาพร้อมกัน”
อันหลินทำหน้ากระจ่างใจ ท่าทางเขากับมนุษย์หมาป่าตัวนี้จะมีวาสนาต่อกันมากทีเดียว ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้มันติดตามตนไปก่อนแล้วกัน
จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เสี่ยวหลาน ตอนนี้เจ้าปลุกพลังส่วนตนได้หรือยัง”
“ตื่นแล้ว วันที่เจ้ากลับมานั่นแหละ ใจข้าสั่นไหว ในที่สุดข้าก็บรรลุพลังส่วนตนแล้ว” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างดีอกดีใจ
“ฮ่าๆ ๆ ยินดีด้วยนะ ข้าว่าแล้วเจ้าไม่มีปัญหาแน่นอน!” อันหลินได้ฟังก็ลิงโลดใจมาก
หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรง คงลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น มอบอ้อมกอดแห่งรักให้สวีเสี่ยวหลานแล้ว
“จริงสิ เจ้าเจออะไรในคุกวิหคชาดกันแน่ ดูท่าทางศิษย์พี่หยางหยวนจะซึ้งน้ำใจเจ้ามาก แม้แต่หญิงงามผู้เย็นชาอย่างซ่างกวนอี้ก็มองเจ้าไม่เหมือนเดิม” สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินด้วยแววตาที่กระจ่างใส “ตอนที่ม่อไห่รายงานสถานการณ์ต่อสำนัก ข้าเอาแต่ดูแลเจ้า เลยไม่ทันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยดีไหม”
อันหลินยิ้มบางๆ เมื่อได้ฟัง “เรื่องนี้เล่าแล้วจะยาว สงครามสุดท้ายเรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าภูตผีร่ำไห้ ทุกอย่างต้องเริ่มเล่าจากพญาหงส์ที่ถูกจองจำในคุกวิหคชาด…”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม