อันหลินกลับมายังสำนักที่คุ้นเคย หวนคืนสู่บ้านพักที่อบอุ่นอีกครั้ง
เขาไม่คิดเลยว่าการไปสำนักวิหคชาดกับสวีเสี่ยวหลานครั้งนี้จะมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายปานนี้
ครั้งนี้ออกเดินทางเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าเต็มๆ รองผู้อำนวยการอวี้หัวพอรู้ความเป็นมาของเรื่องราวคร่าวๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ว่าอะไรกับการขาดเรียนหนึ่งเดือนกว่ามากนัก
กลับเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับสหายบางส่วนที่เป็นห่วงอันหลินแทบแย่ มีทั้งข่าวการเสียชีวิต ทั้งคืนชีพกะทันหัน…เล่นเอาหัวใจของพวกเขาแทบวายแล้ว อันหลินกลับสำนักวิหคชาดก่อนหน้านี้ ใช้เวลาแจ้งว่าปลอดภัยผ่านยันต์ส่งสารตั้งครึ่งวันเต็ม
เมื่อทราบการกลับมาของอันหลินกับสวีเสี่ยวหลาน เซวียนหยวนเฉิงกับพวกซูเฉี่ยนอวิ๋นก็มาถึงบ้านพักของอันหลินอย่างอดรนทนไม่ไหว อยากมาชื่นชมทั้งคู่ที่ฟื้นคืนชีพสักหน่อย
สวีเสี่ยวหลานเป็นฝ่ายรินชาให้ทุกคนด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ใบหน้างดงามเจือความนิ่งสงบอันไร้ราคี
หลิวเชียนฮ่วนจ้องสวีเสี่ยวหลานไม่วางตา ปากสีแดงอิงเถา[1]เผยอช้าๆ ใบหน้าค่อยๆ ฉายความตกตะลึง “ศิษย์น้องเสี่ยวหลาน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่…ไยข้ารู้สึกพลังยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าข้าเล่า บรรลุระดับแปลงจิตแล้วหรือ”
“ศิษย์พี่หลิวอย่าพูดเป็นเล่นไป ในศึกแห่งอิสรภาพนางยังอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย ตอนนี้เพิ่งผ่านไปเท่าใดเอง จะข้ามขั้นจากกึ่งแปลงจิตไปบรรลุระดับแปลงจิตได้อย่างไร” สวีเสี่ยวหลานยังไม่ทันตอบ ศิษย์พี่ถังซีเหมินก็ส่ายหน้าพลางพูดยิ้มๆ
“นั่นสิ ใช่ว่าทุกคนจะวิปริตเหมือนสหายอันหลิน ท่านคงจะคิดไปเอง” ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็เอ่ยด้วยเสียงที่นุ่มนวลเช่นกัน
สวีเสี่ยวหลานได้ฟังก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว”
“พรืด…” ถังซีเหมินสำลักน้ำชาทันที
หลิวเชียนฮ่วนพยักหน้าอย่างรู้อยู่แล้ว “ข้าว่าแล้วเชียว กลิ่นอายแบบนี้ไม่ผิดแน่…”
ถังซีเหมิน ซูเฉี่ยนอวิ๋นกับเซวียนหยวนเฉิงลืมพูดลืมจากันแล้ว ต่างก็มองสวีเสี่ยวหลานด้วยความตะลึง ราวกับอยากมองอะไรให้ชัดเจน ประหนึ่งว่าต้องยืนยันอะไรบางอย่าง
“ใช่แล้ว ตอนนี้เสี่ยวหลานบรรลุระดับแปลงจิตขั้นต้นแล้ว” อันหลินพยักหน้ายืนยัน โจมตีสหายทุกคนที่อยู่ตรงนี้พร้อมกันทีเดียว ทำลายจินตนาการของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“ข้านึกว่า…มีแค่อันหลินที่วิปริตเสียอีก ตอนนี้มีสวีเสี่ยวหลานเพิ่มมาอีกคนแล้ว ศิษย์พี่อย่างข้าคนนี้กลับถูกพวกเขาแซงไปเสียแล้ว หึๆ…” ถังซีเหมินเช็ดน้ำชาตรงมุมปากแล้วทอดมองดวงจันทร์นอกหน้าต่าง ทั้งกลมทั้งใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองช่างน่ารัก
เซวียนหยวนเฉิงก็ทำท่าเหมือนได้รับการกระทบกระเทือนเช่นกัน “เจ้าบรรลุระดับกึ่งแปลงจิตข้ายังรับได้ แต่เจ้ากลับบรรลุระดับแปลงจิตเสียแล้ว มัน…มันเร็วเกินไปกระมัง!”
“นั่นสิ ระยะนี้ข้าเพิ่งบรรลุระดับกึ่งแปลงจิตเอง สหายเสี่ยวหลานกลับบรรลุระดับแปลงจิตเสียแล้ว หรือเจ้าจะกระโดดข้ามระดับกึ่งแปลงจิตไปสู่ระดับแปลงจิตเหมือนสหายอันหลิน” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของซูเฉี่ยนอวิ๋นฉายความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้า มองสวีเสี่ยวหลานด้วยใบหน้าของเจ้าหนูจำไม
เซวียนหยวนเฉิงได้ฟังก็เหมือนถูกดาบตำหัวใจ
ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็บรรลุระดับกึ่งแปลงจิตแล้วหรือ มีแค่เราที่อยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายหรือ
ไม่สิ…ถังซีเหมินก็ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน…
เซวียนหยวนเฉิงเบนสายตามองถังซีเหมิน พบว่าถังซีเหมินกำลังเหม่อมองดวงจันทร์นอกหน้าต่าง
เซวียนหยวนเฉิง “…”
ไม่! เซวียนหยวนเฉิงหายใจหอบ หรือนายน้อยแห่งสำนักเซียนหมื่นชีวิตอย่างเราจะตกต่ำถึงขั้นต้องแข่งขันกับปลาเค็มอย่างถังซีเหมินแล้วหรือ!
ตอนนี้เซวียนหยวนเฉิงสิ้นหวังจน…
ในตอนนั้นเองอันหลินก็ตอบยิ้มๆ ว่า “สวีเสี่ยวหลานเดินไปทีละก้าว มีเพียงฝีเท้าไวไปสักหน่อยเท่านั้น เรื่องนี้ต้องย้อนเวลาไปตอนที่ข้ากับนางหวนกลับสำนักวิหคชาด…”
จากนั้นเขาก็เริ่มบอกเล่าประสบการณ์ในสำนักวิหคชาด ประสบการณ์ที่สาวหิมะมารุกราน
สงครามระหว่างสาวหิมะกับสำนักวิหคชาดไม่เพียงสะเทือนทั่วแดนจิ่วโจวเท่านั้น แต่ยังสะเทือนแผ่นดินบรรพกาลทั้งผืนไม่น้อยเลย
พวกเซวียนหยวนเฉิงก็รู้เหตุการณ์ของเรื่องนี้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ไม่มีโอกาสทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเมื่อได้ฟังเจ้าทุกข์บอกเล่าในตอนนี้ มันก็สนุกอย่างยิ่งเหมือนกัน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม