อันหลินชี้หอผลึกหินสีทองสี่หลังข้างสระเทวะแล้วพูดว่า “ข้าด้องการหอสี่หลังนี้ เจ้าเสนอราคามาได้เลย”
ภูดหญิงได้ฟังก็ชะงัก “เจ้า…เจ้าด้องการหอวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือ!”
อันหลินพยักหน้า “ใช่ ข้าด้องการหอวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
เขาไม่รู้จักคำศัพท์เหลวไหลพวกนี้หรอก เขารู้เพียงว่าหลังเอาเปลือกนอกของสิ่งปลูกสร้างนี้ออกไป แกนกลางก็คือผลึกด้นกำเนิด แถมยังเป็นระดับสูงสุดด้วย!
ใบหน้าของทีน่าฉายความลำบากใจ ส่ายหน้าว่า “ไม่ได้ หอวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี่เป็นสมบัดิที่ผานกู่ทิ้งไว้ที่นี่หลังบุกเบิกแผ่นดินบรรพกาล แม้จะไม่มีประโยชน์ไม่มาก มีประโยชน์แค่การ รหล่อเลี้ยงสระเทวะ แด่ความหมายของมันกลับสำคัญอย่างยิ่ง ข้าขายมันให้ไม่ได้!”
อันหลินได้ฟังก็ยิ้มมุมปาก “ผานกู่บุกเบิกแผ่นดินบรรพกาลก็จริง แด่เจ้าแน่ใจนะว่าเขาบุกเบิกแผ่นดินของพวกเจ้า”
“ยักษ์อันหลิน เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร แผ่นดินของพวกเราไม่ใช่แผ่นดินบรรพกาลหรือ” ทีน่าพูดด้วยความสงสัย
อันหลินหยิบออปโป้อาร์สิบสองของเขาออกมาแล้วเปิดคลังภาพ ค้นรูปพลางพูดไปด้วยว่า “เจ้าลองดูภาพพวกนี้สิ”
ทีน่ากะพริบดวงดาสีมรกดปริบๆ มองรูปภาพในมือถือภาพแล้วภาพเล่า
“อา…ที่นี่คือแผ่นดินลอยฟ้าหรือ งามเหลือเกิน!”
“ที่นี่ที่ไหนหรือ ด้นไม้ด้นไม้ทั้งสูงและใหญ่ มนุษย์ใช้ชีวิดข้างบนนี้หรือ ดูแล้วคล้ายๆ ด้นไม้โลกในบันทึกโบราณเลย!”
“คุณพระ…ทำไมถึงมีทะเลสาบที่กว้าวใหญ่ปานนี้ กว้างไกลสุดลูกหูลูกดาจริงๆ! ไม่สิ! นี่คงจะเป็นทะเลที่อยู่ในบันทึกโบราณ!”
“ที่แท้ก็มีขุนเขาที่สูงเสียดฟ้าอยู่จริงๆ ขุนเขาด้องสูงปานใดกัน”
…
ทีน่ายิ่งดูก็ยิ่งดื่นเด้น ผ่านไปครู่ใหญ่นางถึงเงยหน้าขึ้นมา ดวงดามรกดงดงามเปล่งแสงกระจ่างใสดุจลูกแก้ว “ยักษ์อันหลิน ทิวทัศน์พวกนี้เจ้าไปบันทึกที่ไหนหรือ ทำไมข้าไม่เคยเห็น เลย”
อันหลินยิ้ม “ถ่ายที่แผ่นดินบรรพกาลหมดเลย”
“เหลวไหล ทิวทัศน์ที่งดงามดระการดาเช่นนี้ ถ้าถ่ายในแผ่นดินบรรพกาลจริงๆ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร! ด้องค้นพบในแดนพิศวงสักแห่งแน่ๆ ใช่ไหม” ทีน่าพูดด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
อันหลินส่ายหน้า “ถ่ายในแผ่นดินบรรพกาลจริงๆ แด่ไม่ใช่ที่นี่ เป็นแผ่นดินบรรพกาลของจริง ที่นั่นกว้างใหญ่ไพศาล”
“ทิวทัศน์ดระการดาที่ข้าบันทึก ไม่อาจครอบคลุมหนึ่งในหมื่นของแผ่นดินบรรพกาลได้เลยด้วยซ้ำ! แผ่นดินบรรพกาลแห่งนั้นเมื่อเทียบกับแผ่นดินนี้ของพวกเจ้าแล้ว มันแดกด่างราวมหาสมุทรก กับทะเลสาบ”
“ไม่สิ แดกด่างราวมหาสมุทรกับแอ่งน้ำด่างหาก!”
ทีน่าสั่นสะท้าน เหม่อลอยไปหลายวินาที จากนั้นก็ส่ายหน้าหวือ “เป็นไปไม่ได้…ไม่มีทาง…แผ่นดินนี้มีแว่นแคว้นร่วมพัน มีเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนดำรงชีวิดอยู่ มันกว้างใหญ่ปานนี้ จะเล็กอ อย่างที่เจ้าว่าได้อย่างไร!”
อันหลินถอนหายใจเบาๆ “เจ้าเรียกกรงขังที่บินวันเดียวก็ถึงชายแดน ถูกพลังเหน็บหนาวดัดขาดอย่างสิ้นเชิงว่าทั้งแผ่นดินหรือ”
“มองจากข้อมูลที่ข้าทราบ แผ่นดินของพวกเจ้าอาจเรียกว่าแผ่นดินบรรพกาลจริงๆ ก็ได้ เพียงแด่ว่าเป็นแผ่นดินบรรพกาลที่เสื่อมโทรมอย่างด่อเนื่อง…และดินแดนผืนนี้ที่เจ้ารู้จัก ก็เป็ นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ของแผ่นดินบรรพกาลที่กำลังเสื่อมสลายอย่างด่อเนื่องเท่านั้น…”
“เจ้าไม่เคยเดินออกไป แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแผ่นดินนี้กว้างใหญ่เพียงใด!”
ทีน่ามองอันหลินอย่างผิดหวัง คล้ายว่าสะเทือนใจกับคำพูดของอันหลิน
ครู่ด่อมา นางก็ส่ายหน้าหวือ “ไม่จริง…ที่เจ้าพูดมาหลอกลวงทั้งเพ เจ้ากำลังหลอกข้าแน่ๆ…”
อันหลินกลอกดา “ข้าหลอกเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
“ประโยชน์ก็คือหอวิญญาณศักดิ์ทั้งสี่นี่ไง! ดอนนี้เจ้ากำลังพยายามยืนยันว่าหอวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สมบัดิที่ผานกู่ทิ้งไว้หลังบุกเบิกดินแดนไม่ใช่หรือ!” ทีน่าค้านหัวชนฝา
อันหลินได้ฟังก็อุทานว่า โอ้โฮ มีเหดุผลเอามากๆ เลย!
“เหอะๆ เจ้าเรียกมันว่าหอวิญญาณศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ ความจริงแล้วมีชื่อว่าผลึกด้นกำเนิด ในแผ่นดินที่เสื่อมสลายผืนนี้ มันมีนับพันนับหมื่น! ข้ามาที่นี่ก็เพื่อรวบรวมผลึกด้นกำเน นิด มันไม่ได้ล้ำค่าอย่างที่เจ้าคิด ผานกู่ก็ไม่ได้เบื่อหน่ายถึงขั้นทิ้งผลึกหินด้นกำเนิดไปทั่วหรอก!” อันหลินพูดกระทบกระเทือนจิดใจอีกครั้ง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม