คาบเรียนช่วงบ่ายยังคงทำให้อันหลินง่วงเหงาหาวนอนเช่นเดิม แต่หลังผ่านมรสุมคาบเรียนช่วงเช้าแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้านอนในคาบเรียนอีก
สำหรับอันหลินแล้ว สิ่งที่น่าสนใจหนึ่งเดียวในตอนบ่ายก็คือการเลือกประธานห้องของห้องพวกเขา
การคัดเลือกครั้งนี้มีเซียนกระบี่หลินเซียวอาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาเป็นผู้ควบคุมดูแล ขณะเดียวกันเขาก็เป็นหัวหน้าชั้นเรียนของศิษย์ใหม่รุ่นนี้อีกด้วย รูปร่างหน้าตาเรียกได้ว่าหล่อเหลา ดึงดูดสาวน้อยในห้องได้ไม่น้อยเลย
ตำแหน่งของหัวหน้าห้องจะคัดเลือกโดยวิธีเลือกแบบประชาธิปไตย คนที่อยากชิงตำแหน่งสามารถขึ้นไปหาเสียงบนแท่นได้เลย
การกล่าวสุนทรพจน์ชิงตำแหน่งของเซวียนหยวนเฉิงเรียกได้ว่ากระชับป่าเถื่อน เขาพูดแค่ประโยคเดียวว่า
“ทุกคนต่างก็เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งของศิษย์ใหม่รุ่นนี้ เช่นนั้นหัวหน้าห้องของพวกเจ้าก็ควรจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น เพราะมีแค่แบบนี้ ถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้!”
คำพูดที่ชมเพื่อนร่วมห้อง แถมยังชมตัวเองของเซวียนหยวนเฉิง ไม่พูดไม่ได้ว่าได้ผลเป็นอย่างมาก
สุดท้าย เมื่อผ่านการช่วงชิงอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ซูเฉี่ยนอวิ๋นไม่เข้าร่วมชิงตำแหน่ง เซวียนหยวนเฉิงจึงได้ตำแหน่งหัวหน้าห้องห้องหนึ่งไปครอง ด้วยข้อได้เปรียบทางคะแนนเสียงที่ขาดรอย
หลังเลิกเรียน เซวียนหยวนเฉิงที่เพิ่งได้เป็นหัวหน้าห้องหยกๆ ก็เดินเข้ามาหาอันหลิน
แค่ครู่เดียวก็จะลงมือกับเราแล้วเหรอ อันหลินตกใจ
เพิ่งรับตำแหน่งไฟยังแรง คิดว่าเซวียนหยวนเฉิงคงจะเริ่มวางอำนาจกับคนแปลกแยกในห้องเรียนนี้อย่างตัวเองแล้ว
“ในห้องนี้ ไม่อนุญาตให้มีคนไร้ประโยชน์อยู่” เซวียนหยวนเฉิงพูดเสียงเรียบ
เป็นอย่างที่คิด…
เมื่อได้ยินประโยคนี้ อันหลินยังไม่ทันได้เกิดโทสะ ความโกรธของเขาก็ถูกประโยคถัดไปของเซวียนหยวนเฉิงทำลายไปเสียแล้ว
“ฉะนั้นแล้ว สหายอันหลิน เจ้าจะต้องพยายามให้ดีล่ะ!”
“หากเจ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร มาบอกข้าได้ ข้าในฐานะหัวหน้าห้อง ต้องพยายามช่วยเจ้าสุดความสามารถแน่นอน!”
พูดจบ เซวียนหยวนเฉิงก็ส่งยิ้มอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิให้อันหลิน ซ้ำยังตบไหล่เขาปุๆ เป็นสัญญาณให้กำลังใจ จากนั้นก็หันหลังจากไป
อันหลินมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเซวียนหยวนเฉิง ราวกับตกอยู่ในภวังค์
ที่แท้ตัวเองก็เจอหัวหน้าห้องที่ดีนี่เอง!
…
ตกกลางคืน อันหลินเริ่มนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรต่อ
เขาสัมผัสได้ว่าพลังยุทธ์ของตัวเองกำลังเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย
แต่เพราะไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่
เฮ้อ หวังว่าจะสามารถอาศัยความสามารถของตัวเอง บรรลุกายแห่งมรรคขั้นสี่ในเร็ววัน
อันหลินรู้ว่าการเพิ่มพลังยุทธ์เป็นเรื่องที่ใจร้อนไม่ได้ ยิ่งใจร้อน ผลลัพธ์ของการเพิ่มพลังยุทธ์จะยิ่งแย่
วันต่อมา อันหลินที่อยากจะบำเพ็ญเซียนอย่างเรียบง่าย กลับเจอปัญหาเสียอย่างนั้น
ลูกศิษย์จากห้องอื่นคนหนึ่ง ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อันหลิน
มีตัวหนังสือตัวใหญ่เด่นหราอยู่บนซองจดหมาย ‘สาส์นท้ารบ!’
พอเห็นคำนี้ ใจของอันหลินก็กระตุกอย่างแรง
เล่นตลกอะไรกัน เราไปหาเรื่องใครตอนไหน ถึงต้องส่งสาส์นท้ารบมาให้เรา!
อันหลินเปิดซองจดหมาย อ่านเนื้อหาในจดหมายด้วยความกระวนกระวาย
‘ได้ยินว่าสหายอันหลินมีพลังยุทธ์แก่กล้า เป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะที่ได้จดหมายรับรองจากผู้เที่ยงแท้
ข้าน้อยหลิวต้าเป่า หัวหน้าห้องห้องหนึ่งร้อย อาจหาญนัดหมายสหายให้มาประลองกันที่หน้าแปลงดอกไม้ตรงอาคารเรียนหลังเลิกเรียน…’
ตอนแรกน้ำเสียงในจดหมายยังถือว่าปกติ แต่หลายประโยคถัดมา กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
‘หากใครไม่มาตามนัด มันผู้นั้นก็คือคนขี้ขลาดที่ไม่มีช้างน้อย!
ข้าป่าวประกาศข่าวที่เราสองคนจะประลองกันให้ทุกห้องรู้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นจะมีนักเรียนไม่น้อยมาชมการประลอง คิดว่าเจ้าคงไม่ผิดนัดหรอกใช่ไหม
เช่นนั้นหลังเลิกเรียน พวกเราไม่เจอไม่แยกย้าย!’
“มีอย่างที่ไหนกัน!” อันหลินอ่านจนจบ เกือบจะสบถด่าพ่อด่าแม่แล้ว
หลิวต้าเป่าคนนี้คิดอะไรทำไมอันหลินจะไม่รู้ เพิ่งได้เป็นหัวหน้าห้องหนึ่งร้อย หากเอาชนะนักเรียนใหม่ของห้องหนึ่งได้ เช่นนั้นคงจะเท่ไม่หยอกทีเดียว!
ในห้องหนึ่งนอกจากอันหลินแล้ว ไม่ว่าคนไหน ก็สามารถล้มหลิวต้าเป่าด้วยนิ้วเดียวได้
แต่ไม่ใช่อันหลิน พลังยุทธ์ของเขาด้อยมาก ซ้ำยังเป็นบุคคลที่โด่งดังในหมู่นักเรียนใหม่อีกด้วย


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม