บทที่ 1042 ศึกสะท้านฟ้า
“พวกเจ้าสามคนจำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกัน เราอนุญาตให้พวกเจ้าสามคนแข่งขันกันเองได้ แต่นั่นคือเรื่องภายใน เมื่อเผชิญหน้ากับภายนอกต้องผนึกกำลังต่อสู้กับศัตรู เข้าใจหรือไม่”
น้ำเสียงของหานหลิงเฉยเมย ทว่าแฝงด้วยความรู้สึกกดดันอันแรงกล้า
พวกหานเย่ทั้งสามพยักหน้ารับ รับประกันว่าจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย
หานหลิงเอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค พวกหานเย่ถึงได้จากไป
หานหลิงเฝ้ามองแผ่นหลังของพวกเขาหายลับไป จากนั้นก็หยิบคันฉ่องบานหนึ่งขึ้นมา คันฉ่องบานนี้เป็นสีทอง พื้นผิวคันฉ่องขุ่นมัว
ริมฝีปากของหานหลิงขยับเล็กน้อย ร่ายคาถาอย่างไร้เสียง
ในไม่ช้าเงาร่างหนึ่งพลันปีนออกมาจากคันฉ่อง เป็นทหารจักรพรรดิของนาง
ทหารจักรพรรดินายนี้กลายเป็นลำแสงสีรุ้งพุ่งออกไป หายลับไปในชั่วพริบตา
หานหลิงยกยิ้มมุมปาก จากนั้นหลับตาลง
….
ณ โลกผลาญนภา
หุบเหวลึกไร้ใดเทียม หมอกหนาทึบปกคลุม มองเห็นทิวเขาลุ่มดอนได้รางๆ แสงรุ้งมหึมาสายหนึ่งลอยพาดอยู่กลางอากาศ ไหลเอื่อยสงบนิ่ง ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ในรัศมีร้อยล้านลี้
เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตานทยอยเหาะเข้ามา หยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าธารนทีแสงรุ้ง
เหล่าตานร้องจุ๊ๆ เอ่ยชื่นชมว่า “ผลาญนภาน่าอัศจรรย์โดยแท้ มีกฎเกณฑ์สูงสุดหล่นร่วงด้วย เป็นเรื่องที่ไม่กล้าคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในฟ้าบุพกาลเลย”
เจียงอี้ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เกรงว่าคงจะเป็นแผนร้าย ระยะนี้ฟ้าบุพกาลรุกไล่โจมตีผลาญนภา การปรากฏขึ้นของกฎเกณฑ์สูงสุดสายนี้จะดึงดูดผู้บำเพ็ญฟ้าบุพกาลจำนวนมากเข้ามา หากว่ามีการซุ่มโจมตีเกรงว่าคงต้องตายกันหมด”
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ศิษย์น้องฮวงคนเดียวก็ถล่มผลาญนภาได้แล้ว ต่อให้ผลาญนภาผนึกกำลังกันเช่นไรแล้วจะทำลายล้างฟ้าบุพกาลได้หรือ”
เจียงอี้รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงยิ้มออกมาเช่นกัน
เต้าจื้อจุนจ้องกฎเกณฑ์สูงสุดเขม็ง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ขณะที่เหล่าตานกำลังจะอ้าปากพูด พลันปรากฏกลิ่นอายแกร่งกล้าสายหนึ่งโจมตีเข้ามา
“กฎเกณฑ์สูงสุดสายนี้ต้องเป็นของข้าราชันเทวาฟ้าไพศาล!”
เสียงตวาดกร้าวแว่วเข้ามา ราชันเทวาฟ้าไพศาล หนึ่งในสิบยอดฟ้าแห่งงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งแรก
เต้าจื้อจุนขมวดคิ้ว เขาย่อมจดจำราชันเทวาฟ้าไพศาลได้ คนผู้นี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้พบกันที่นี่
มองเห็นราชันเทวาฟ้าไพศาลในชุดสีขาวสะอาดเหยียบมังกรขาวทะยานเข้ามา มังกรขาวตัวนั้นยาวนับหมื่นลี้ กรงเล็บทั้งสี่เหยียบย่างเมฆา เหยียบเมฆหมอกเหินทะยานดูยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ
สายตาของราชันเทวาฟ้าไพศาลจ้องไปที่เต้าจื้อจุน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่มิใช่ม้ามืดที่จู่ๆ ก็หมดแรงลงกลางคันในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลหรอกหรือ จุ๊ๆ เจ้าคิดจะพึ่งพาพลังจากภายนอกอีกแล้วหรือ ระวังมรรคจิตจะถูกขุดกลวงเปล่าจนสูญเสียความเป็นตัวเองไปเสียเล่า!”
วาจานี้โหดร้ายยิ่งนัก เมื่อเต้าจื้อจุนได้ฟังดวงตาพลันฉายแววสังหาร
เต้าจื้อจุนไม่พูดพร่ำทำเพลงตรงเข้าโจมตีราชันเทวาฟ้าไพศาล
เจียงอี้ก็รีบตามเขาไปทันที
แต่จ้าวเซวียนหยวนมิได้ออกโรงด้วย เขามองไปทางกฎเกณฑ์สูงสุดก่อนเอ่ยถามเหล่าตานที่อยู่ข้างกายว่า “ตาเฒ่า เจ้าว่ากฎเกณฑ์สูงสุดสายนี้เป็นตัวแทนแห่งพลังใด”
ครืน!
สามยอดมหามรรคต่อสู้กันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้หมอกหนาทึบที่ปกคลุมอยู่ในโลกาปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เหล่าตานจ้องมองกฎเกณฑ์สูงสุดเอ่ยออกไปว่า “กลิ่นอายของมันยิ่งใหญ่ทว่าไร้ซึ่งความดุดัน อาจจะเกี่ยวข้องกับบ่วงกรรมหรือไม่ก็ดวงชะตา”
ในเวลานี้เอง กลิ่นอายแกร่งกล้าสายแล้วสายเล่าที่ต่างกันออกไปพากันมุ่งหน้ามายังหุบเหวลึกไร้ขอบเขตแห่งนี้
จ้าวเซวียนหยวนและเหล่าตานมีสีหน้าตกใจ
“สมควรตาย ใหญ่จนมากันเร็วถึงเพียงนี้”
จ้าวเซวียนหยวนสบถเสียงเบา หยิบกระบี่สีแดงเล่มหนึ่งที่หลอมขึ้นจากโลหิตมังกรออกมาเตรียมเข้าต่อสู้
อีกด้านหนึ่ง
หานอวี้ ฉินหลิง ชิงเทียนเสวียนจี จ้าวซวงเฉวียน ขี่รุ้งขจีเส้นหนึ่งร่อนลงมาจากห้วงอวกาศ
จ้าวซวงเฉวียนจ้องมองออกไปด้านหน้า เอ่ยขึ้นว่า “เริ่มสู้กันแล้ว มียอดมหามรรคอย่างน้อยสิบ มีอริยะมหามรรคเข้าร่วมการต่อสู้เรื่อยๆ เกินสามสิบคนแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...