บทที่ 1065 เก้าเทวดารา สำนักเลิศนพวิถี
เมื่อเผชิญกับไอสังหารอันพลุ่งพล่านของหานเจวี๋ย โม่จั้งตกใจจนขวัญเสีย ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ข้าจะสังหารอาจารย์เจ้าเดี๋ยวนี้!”
เขาเพ่งสายตาเล็กน้อย โม่จั้งก็มองเห็นหานเจวี๋ยหันไปลงมือกับโม่จู๋แล้ว โม่จู๋ที่สูงส่งลุ่มลึกยามอยู่ต่อหน้าเขาถูกระเบิดจนวิญญาณสลายกระจัดกระจาย
“ไม่…”
โม่จั้งแผดร้องเสียงโหยหวน ไม่ทราบว่าเขาเอาพลังมาจากไหนจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา พุ่งเข้าใส่หานเจวี๋ย
เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ก็ถูกพลังล่องหนบางอย่างพันธนาการไว้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
โม่จั้งที่ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดมองไปที่หานเจวี๋ย แววตาเปี่ยมด้วยเจตนาสังหารและความชิงชัง
“เลิกเย้าเขาได้แล้ว เขาเพิ่งอายุเท่าไรกัน”
เสียงโม่จู๋พลันแว่วเข้ามา โม่จั้งเหลือบมองไปตามสัญชาตญาณ เห็นโม่จู๋ที่แหลกสลายเป็นเถ้าธุลีไปก่อนหน้านี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง กำลังเดินเข้ามาทางพวกเขา
จากนั้นพอมองไปที่หานเจวี๋ยก็พบว่าสีหน้าเย็นชาสลายไปจากใบหน้าเขาแล้ว แทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิยวนใจคน เข้ากับใบหน้าหล่อเหลาล้ำเลิศดวงนั้นของเขายิ่งนัก แม้แต่โม่จั้งก็ยังใจลอยไปเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อพลังแกร่งกล้าที่พันธนาการตนไว้หายไป โม่จั้งอดถามออกไปไม่ได้ น้ำเสียงฉงนงงงวย
ต่อให้เขาโง่แค่ไหนก็มองออกแล้วว่าหานเจวี๋ยมิใช่ศัตรู เมื่อครู่เพียงหยอกเขาเล่นเท่านั้น
โม่จู๋เดินเข้าไปหยุดข้างกายหานเจวี๋ย เอ่ยถามว่า “ครั้งนี้มาเพราะเขาหรือ”
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
โม่จู๋มองไปที่โม่จั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่คุกเข่าคำนับปฐมบรรพชนของเจ้าอีกหรือ”
“ปฐมบรรพชนหรือ”
โม่จั้งผงะไป คำพูดของอาจารย์เขาย่อมเชื่อถือ ดังนั้นเขาจึงคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยมองไปที่โม่จู๋พลางถามออกไป “ช่วงที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่”
โม่จู๋มองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อน ตอบว่า “สบายดียิ่ง ขอบคุณการดูแลของท่านด้วย”
ทั้งสองเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยวาจา ช่วงเวลาในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง
หานเจวี๋ยเลิกสนใจเรื่องในอดีตทั้งหว่างพวกเขาทั้งสองไปนานแล้ว แต่สำหรับโม่จู๋กลับยังคงสลักลึกฝังแน่นอยู่ในใจ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานางได้ยินตำนานเรื่องราวน่าอัศจรรย์ของหานเจวี๋ยมามากมาย นางเคยนึกเสียใจ เคยรู้สึกจนปัญญาและเคยดึงดัน
แต่สำหรับเรื่องที่โม่จู๋เลือกตระกูลของตนในอดีตครานั้น หานเจวี๋ยไม่ได้คัดค้านอันใดมากมายนัก ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตัวเอง ตัวเขาเองแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางสำหรับคนอื่นอยู่แล้ว
หานเจวี๋ยมองไปที่โม่จั้ง เอ่ยถามว่า “รับรู้ถึงพลังภายในร่างเจ้าได้หรือไม่”
โม่จั้งถามด้วยความแปลกใจ “หรือว่าพลังนี้จะเป็นท่าน…”
เขามองออกว่าท่านปฐมบรรพชนผู้นี้และอาจารย์มีความสัมพันธ์สนิทชิดใกล้ หรือว่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้ที่ทำให้อาจารย์รับตัวเขาไว้
พอคิดได้เช่นนี้ จิตใจของโม่จั้งก็ซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา”
โม่จั้งเงียบไป
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่ชั่วคราว สั่งสอนอบรมเจ้าไประยะหนึ่ง”
เขามองไปที่โม่จู๋
โม่จู๋กล่าวว่า “ท่านอยากอยู่ก็อยู่เลย…”
นางมีอาการประหม่าอย่างที่ไม่ปรากฏมานานแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมานานนับร้อยล้านปี นานจนตัวนางเองใกล้จะลืมไปแล้วว่าตนก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ร่างแยกของหานเจวี๋ยจึงรั้งอยู่
สถานการณ์ของร่างแยกอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้พาตัวเชื้อสายที่ได้รับสวรรค์ประทานโชคอีกแปดคนไปทันที แต่ให้เวลาพวกเขาได้ปรับตัวสักระยะหนึ่ง
หานเจวี๋ยร่างจริงกลับมายังอารามเต๋าในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
“ผ่านไปอีกสักระยะข้าจะพาเชื้อสายกลับมาเก้าคน นับเป็นชนรุ่นหลังของเจ้าเช่นกัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ช่วยดูแลให้มากหน่อยเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...