บทที่ 1150 ทะเลสาบมหาวิถี อายุหกร้อยล้านปี
หลังจากมู่หรงฉี่ลาจากไปก็ได้เริ่มก่อตั้งกองกำลังของตนขึ้น เมื่อย้อนนึกถึงวาจาหานเจวี๋ย เขาตระหนักได้ว่าสงครามใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนกำลังจะมาเยือนแล้ว ล้วนจะรุ่งโรจน์ยิ่งกว่ายุคสมัยใดๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบันไม่เคยมียอดมหามรรคมากมายขนาดนี้มาก่อน
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
เขาปล่อยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคออกไป จะต้องก่อให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุดเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นแน่นอน บุตรแห่งสวรรค์ผู้เลิศล้ำจะปรากฏตัวขึ้นในความโกลาหล ผู้สร้างมรรคารายใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้นก่อนกำหนดด้วย
หานเจวี๋ยไม่ได้ทำนายดูว่าผู้ใดจะได้รับดวงชะตามหามรรคสายนี้ไป เขาอยากจะเหลือความสนใจใคร่รู้ไว้ให้ตนบ้าง
….
แดนลับเชื่อมวิถีผ่านการพัฒนามาหลายสิบล้านปี โลกนี้วิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว กว้างไพศาลอย่างยิ่ง ไม่ด้อยไปกว่ามรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้เลย
อู๋เซียงเทียนเซี่ยได้รับความช่วยเหลือจากมหาเทวาพ้นนิวรณ์ ทุ่มเททรัพยากรไปกับแดนลับเชื่อมวิถีไม่น้อยเลย ทำให้แดนลับเชื่อมวิถีดึงดูดเหล่าผู้บำเพ็ญมาเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในโลกขนาดเล็กใบหนึ่ง ขุนเขาทอดลุ่มๆ ดอนๆ ราวกับสันหลังของสัตว์ร้ายบรรพกาล ยิ่งใหญ่ไพศาล
ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยนั่งสมาธิเคียงข้างกันบนหน้าผา กำลังรักษาตัวอยู่
ฉู่เสี่ยวชีพลันลืมตาขึ้น ด่าออกมา “สมควรตาย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งโมโห จะต้องเอาคืนเขาให้ได้!”
เฉินเจวี๋ยเอ่ยโดยไม่ลืมตาขึ้นมา “อีกฝ่ายเป็นถึงอริยะมหามรรค ซ้ำยังมีกลุ่มอำนาจในปกครอง มีอริยะเสรีใต้บัญชาเกินพันคน พวกเราไม่มีทางสังหารเขาได้”
“อริยะมหามรรคแล้วอย่างไรเล่า อริยะมหามรรคก็ไร้พ่ายแล้วอย่างนั้นหรือ!”
“จากที่มองจากตอนนี้ก็ใช่”
“รอข้าไปฟ้องท่านอาจารย์ข้าก่อนเถอะ”
“เจ้าไม่ทราบแน่ชัดด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใด แล้วจะไปฟ้องเขาได้อย่างไร”
เฉินเจวี๋ยลืมตาขึ้น น้ำเสียงเจือแววเสียดสี
ทุกครั้งที่เผชิญอันตราย ฉู่เสี่ยวชีล้วนคุยโม้เสมอ ช่วงแรกๆ เฉินเจวี๋ยยังเชื่ออยู่ ถึงขั้นที่ตั้งตารอด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้อย่าได้เอ่ยถึงเลย
ฉู่เสี่ยวชียังคิดจะโต้แย้งอยู่ ทันใดนั้นฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน เนินเขาเคลื่อนชนกัน
สายตาของทั้งสองถูกดึงดูดให้มองไปยังขอบฟ้า เห็นเพียงว่ามีเงาร่างใหญ่มโหฬารร่างหนึ่งเดินผ่านขอบฟ้าเข้ามา เงาร่างนั้นดูเหมือนจะอยู่นอกโลก ห่างไกลกันนับล้านๆ ลี้ จากผืนปฐพีจรดขอบฟ้าอวลหมู่เมฆมองเห็นเพียงช่วงเอวของเขาเท่านั้น ยากจะเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้
พวกฉู่เสี่ยวชีล้วนอยู่ระดับเสรีแล้ว มองทะลุโลกขนาดเล็กได้ มองเห็นร่างจริงของเงาใหญ่มโหฬารนั้น เป็นบุรุษลึกลับคนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำเหี้ยมหาญ มีสามเศียรหกกร มีปีกหนึ่งคู่บนแผ่นหลัง ราวกับเทพมารอสูรกายที่ออกลาดตระเวนอาณาเขตของตน กลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวนั้นทำให้ทั้งสองหนาวสะท้านทรวงขึ้นมา
พวกเขากลบกลิ่นอายไว้ทันที กลัวว่าจะถูกพบตัวเข้า
ผ่านไปเนิ่นนาน
เมื่อบุรุษในชุดเกราะดำละสายตาไปจากทางพวกเขาแล้ว ฉู่เสี่ยวก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้ว พึมพำว่า “กลิ่นอายแกร่งกล้านัก สามารถข่มอริยะเสรีหวาดหวั่นได้เช่นนี้ หรือจะเป็นอริยะมหามรรค ดูเหมือนเขากำลังตามหาบางสิ่งอยู่”
ฉู่เสี่ยวชียกมือกอดอกเอ่ยอย่างใช้ความคิด “จะว่าไปแล้วก็แปลก ช่วงนี้พบอริยะมหามรรคอยู่บ่อยครั้ง หรือว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นแล้ว”
เฉินเจวี๋ยก็ขบคิดอยู่เช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนี้ ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากทั้งสองไปไกลแสนไกล บนห้วงอวกาศเหนือใจกลางแดนลับเชื่อมวิถี
ตำหนักใหญ่มหึมาหลังหนึ่งลอยตัวอยู่ในห้วงอวกาศ แผ่แสงเทพไร้สิ้นสุด แสงหลากสีเปลี่ยนสลับไป ดั่งฝันดุจมายา มีอุกกาบาตล่องลอยอยู่รอบทิศ บนอุกกาบาตทุกก้อนล้วนมีผู้พิทักษ์อยู่ รูปร่างอย่างต่ำที่สุดก็สูงนับล้านจั้งแล้ว
ภายในตำหนัก อู๋เซียงเทียนเซี่ยนั่งบนบัลลังก์ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม ทอดสายตามองบุรุษคนหนึ่งที่อยู่ในท้องพระโรงตำหนัก
เป็นมู่หรงฉี่!
“นึกถึงอดีตปีนั้น ศึกระหว่างพวกเราสิบยอดฟ้ามีสีสันมากนัก เหล่าบุตรแห่งสวรรค์รุ่นหลังเทียบกับพวกเราแล้วยังด้อยกว่ามาก” อู๋เซียงเทียนเซี่ยกล่าวอย่างสะท้อนใจ
เมื่อเทียบกับในช่วงงานชุมนุมฟ้าบุพกาลแล้ว เขาลดความจองหองลง กะล่อนมากขึ้นและสุขุมขึ้นเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...