บทที่ 1152 เจ้าแห่งกาลเวลา
พอเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น ต้นฝูซังอดตัวสั่นไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “คารวะนายท่าน”
ร่างพฤกษาเทพฝูซังเทียบเท่ากับร่างแยกของต้นฝูซัง มีเจตจำนงหนึ่งเดียวกัน มิได้ก่อกำเนิดวิญญาณเอกเทศ แต่เท่ากับต้นฝูซังแบ่งสมาธิทำสองเรื่องไปพร้อมกัน
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เชื่อมต่อหาที่ตั้งของห้วงเวลาต้นกำเนิดได้หรือยัง”
เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน หานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดเสียงหาต้นฝูซังมอบหมายภารกิจนี้ให้
พฤกษาเทพฝูซังควบคุมห้วงมิติได้ หากแม้แต่เชื่อมต่อกับห้วงเวลาต้นกำเนิดก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะเป็นเทพแห่งห้วงกาลเวลาได้อย่างไร
“ยังตามหาห้วงเวลาต้นกำเนิดที่ท่านกล่าวถึงไม่พบ แต่ช่วงนี้มีผู้บำเพ็ญที่เดินทางข้ามกาลเวลาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านว่าจำเป็นต้องสร้างระเบียบควบคุมกาลเวลาขึ้นหรือไม่ บางทีหลังจากมิติเวลามั่นคงแล้วข้าอาจจับสัมผัสถึงห้วงเวลาต้นกำเนิดได้แน่ชัดขึ้น”
ต้นฝูซังเอ่ยตอบ น้ำเสียงละอายใจ
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เรื่องระเบียบกาลเวลายกให้เจ้าจัดตั้งขึ้นได้เลย ข้ามอบอำนาจให้เจ้าไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคอยถามข้าทุกเรื่อง หากเจ้าทำได้ไม่ดีข้าจะริบอำนาจคืน หากเจ้าทำไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้นั่งในตำแหน่งนี้อีกเช่นกัน”
พฤกษาเทพฝูซังตัวสั่น ใบร่วงหล่นไปไม่น้อย กลายเป็นห้วงจักรวาลนับไม่ถ้วนในดินแดนเวิ้งว้าง
“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะ…”
เสียงของพฤกษาเทพฝูซังแผ่วหวิวอย่างยิ่ง ราวกับเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ตนต้องการหานเจวี๋ยก็จากไป
เดิมทีเขาคิดจะถือโอกาสชี้แนะให้แก่ต้นฝูซัง ไม่คิดเลยว่ามันจะไม่ได้เรื่องขนาดนี้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด
รอจนต้นฝูซังสร้างผลงานได้เขาค่อยให้รางวัล
หลังแยกจากต้นฝูซังแล้ว หานเจวี๋ยไม่ได้กลับไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม แต่มายังด้านบนสุดของดินแดนเวิ้งว้าง
มหาเทวาพ้นนิวรณ์บุกเบิกตั้งตำหนักพ้นนิวรณ์ไว้ที่นี่แล้ว เป็นสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งอันสูงส่งของเขา หานเจวี๋ยก็วางแผนจะบุกเบิกสถานที่ขึ้นเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาจะสร้างขึ้นเป็นโลกแห่งหนึ่ง
เขาบุกเบิกอาณาเขตลับแห่งหนึ่งขึ้นเหนือตำหนักพ้นนิวรณ์ ไม่มีผู้ใดสัมผัสถึงได้ แม้แต่มหาเทวาพ้นนิวรณ์ที่อยู่ในตำหนักก็ไม่อาจรับรู้ได้เช่นกัน
ช่องว่างระหว่างเทพผู้สร้างและผู้สร้างมรรคาห่างไกลกันอย่างยิ่ง ขอเพียงหานเจวี๋ยไม่ต้องการให้มหาเทวาพ้นนิวรณ์พบเห็น ต่อให้เขายืนอยู่ต่อหน้ามหาเทวาพ้นนิวรณ์อีกฝ่ายก็ยากจะสัมผัสหรือตรวจจับตัวตนได้อยู่ดี
วิธีการนี้ย่อมเป็นการอาศัยประโยชน์จากกฎเกณฑ์พื้นฐานของดินแดนเวิ้งว้าง
หานเจวี๋ยเข้าสู่อาณาเขตที่ตนบุกเบิกขึ้น ที่นี่เป็นสีแดงเข้ม ราวกับท้องนภาแห่งขุมนรก
เขาชูมือขวาขึ้นมา นภาครามกว้างไพศาลและผืนปฐพีที่ขยายตัวไปอย่างต่อเนื่องปรากฏขึ้นเบื้องล่าง
ป่าเขาเข้าครอบคลุมผืนปฐพี เมฆหมอกก่อตัวขึ้นสายพิรุณสาดเทลงไป มหาสมุทรกว้างใหญ่ก่อตัวขึ้นในที่ราบลุ่มหุบเขา บรรยากาศโลกอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นมา มองเผินๆ เสมือนโลกสามัญแห่งหนึ่ง
หานเจวี๋ยทิ้งรูปสลักศิลาชิ้นหนึ่งไว้ ในรูปสลักแฝงเสี้ยวเจตจำนงของเขาไว้สายหนึ่ง หากผู้ใดมีวาสนามาถึงโลกใบนี้ได้ก็จะได้รับโชควาสนาใหญ่
เนื่องจากตั้งอยู่เหนือตำหนักพ้นนิวรณ์ ดังนั้นจึงยากนักที่จะค้นพบโลกใบนี้ได้
เรื่องราวในโลกหล้าหมื่นเปลี่ยนพันแปลง ตอนนี้มหาเทวาพ้นนิวรณ์อาจจะเชื่อฟังหานเจวี๋ย แต่อนาคตก็ไม่แน่เช่นกัน หากว่าสักวันหนึ่งมหาเทวาพ้นนิวรณ์สูญเสียความเป็นธรรมไป กลายเป็นคนลุ่มหลงหมกหมุ่นในอำนาจไปอีกครั้ง บางทีโลกนี้อาจจะเป็นตัวแปรที่สามารถเปลี่ยนรูปการณ์ได้
หานเจวี๋ยยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็หายลับไปจากจุดเดิม
….
มรรคาสวรรค์ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ภายในตำหนักเอกภพ
จอมอริยะเสวียนตูมองคนผู้หนึ่งที่อยู่ในโถงตำหนัก สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ
“ข้าไม่ทราบถึงโชควาสนาแห่งท่านเทพจริงๆ หากเจ้าหาไม่พบก็ลองเปลี่ยนสถานที่ค้นหาดูเถิด” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นมา
ผู้ที่อยู่ในโถงตำหนักคือชิงเทียนเสวียนจี
ชิงเทียนเสวียนจีเคยเป็นตัวหมากที่เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจัดวางไว้ในมรรคาสวรรค์ คุณสมบัติของเขาเคยสร้างความตื่นตะลึงให้แก่มรรคาสวรรค์ หลังจากเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลโจมตีงานชุมนุมฟ้าบุพกาล เขาก็เงียบหายไป หลายปีมานี้ปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด ตบะบรรลุถึงยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์แล้ว ด้วยจนใจว่าไร้วิธีพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้ เขาเลยจำเป็นต้องมาที่มรรคาสวรรค์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...