บทที่ 1169 ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ณ อนธการ
นับตั้งแต่สามแดนอนธการรวมตัว อนธการก็กลายเป็นโลกมหามรรคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุคสมัยไร้สิ้นสุดรองลงมาจากโลกปฐมยุค
ส่วนเหล่าผู้สร้างมรรคา โลกของพวกเขาถูกผสานรวมเข้ากับฟ้าบุพกาลไปแล้ว พังทลายลงไปพร้อมฟ้าบุพกาล โลกมหามรรคของแต่ละคนล้วนกลายเป็นโลกขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะบุกเบิกโลกมหามรรคของตนขึ้นใหม่อีกครั้งในสถานที่ลับ แต่ไม่เผยออกมาก็เท่านั้น
ปัจจุบันนี้ เหล่าผู้ทรงพลังต่างคิดว่าหานฮวงมีโอกาสจะสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาได้เร็วที่สุด สามเทพมารอนธการตระหนักรู้ไปพร้อมกัน ทำให้จำนวนกฎเกณฑ์สูงสุดของอนธการไล่ตามบรรพชนเต๋าทัน
สรรพสิ่งในยุคสมัยไร้สิ้นสุดต่างคิดเห็นต่างกันไป แต่สามเทพมารอนธการและบรรพชนเต๋าล้วนไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย ทั้งหมดหลบฉากเร้นกาย พยายามมุ่งสู่ผู้สร้างมรรคา
ความพยายามของพวกเขาทั้งสี่ได้ส่งผลกระทบต่อเหล่าผู้ทรงพลังชั้นแนวหน้ารายอื่นๆ มียอดมหามรรคระยะสมบูรณ์เริ่มหายไปจากสายตาของสรรพสิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าใหม่สับเปลี่ยนเข้าแทนที่ เมื่อเวลาผ่านนานไปก็ปรากฏผู้ทรงพลังโดดเด่นหน้าใหม่ขึ้นมากมาย ไม่ขาดแคลนผู้มีคุณสมบัติเลิศล้ำไปเลย
งานชุมนุมฟ้าบุพกาลยังคงดำเนินต่อไป นับเป็นงานชุมนุมที่มีรากฐานยาวนานที่สุดนับจากแต่โบราณกาลมา ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งล่าสุด บุตรแห่งสวรรค์ในตำแหน่งสิบยอดฟ้าล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตยุคใหม่ทั้งสิ้น เผ่าพันธุ์ใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยไร้สิ้นสุดเริ่มโผล่ออกมาแล้ว
ณ วังจักรพรรดิมหาโชค
วังจักรพรรดิมหาโชคถูกรายล้อมด้วยโลกมหามรรคหลายสิบแห่ง โลกที่อยู่ใต้วังจักรพรรดิมหาโชคก็คือโลกมหามรรคของหานหลิง ใหญ่ไพศาลที่สุด มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเหาะเข้าออก
เวลานี้ ภายในโถงตำหนักหลักของวังจักรพรรดิมหาโชค
หานหลิงนั่งบนบัลลังก์สูง แสงเทพบนร่างดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
บนโถงมีเงาร่างสามร่าง ได้แก่หานเหยา หานเย่และหานป้าเสิน หานเย่คุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกอีกสองคนกดไหล่ซ้ายขวาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้
“หานเย่ สำนึกผิดหรือยัง”
เสียงของหานหลิงแว่วดังขึ้น น้ำเสียงเฉยชา
หานเย่เงยหน้าขึ้น กัดฟันเอ่ย “มีความผิดที่ใดเล่า ข้าเพียงอยากแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! เมื่อก่อนท่านเองก็ไล่จับสิ่งมีชีวิตไปทั่วเพื่อนำมาหลอมเป็นทหารจักรพรรดิมิใช่หรือ ทำเพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้นจะนับเป็นความผิดได้หรือ สิ่งมีชีวิตที่ข้าสังหารไม่มีความเกี่ยวข้องกับวังจักรพรรดิมหาโชคแม้แต่น้อย ท่านคิดจริงๆ น่ะหรือว่าสันติสุขมาเยือนแล้วก็จะไม่ถูกทำลายลงอีก”
หานหลิงเงียบไป
หานเหยาเอ่ยด้วยความโมโห “ฝ่าบาทปล่อยสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไปหมดแล้ว ซ้ำยังชดเชยแก่พวกเขาด้วย อีกอย่าง สังหารสิ่งมีชีวิตเพียงบางส่วนเสียที่ไหน เจ้าสังหารสิ่งมีชีวิตไปมากมายเหลือเกิน มากขนาดที่รวมแล้วเทียบเท่าโลกมหามรรคใบหนึ่ง!”
หานเย่แค่นเสียงเย็นชา ไม่ได้เอ่ยตอบ
หานป้าเสินเอ่ยโน้มน้าวเสียงแผ่ว “ยอมรับผิดเถอะ ตอนนี้มีโลกมหามรรคเกินสิบแห่งที่ต้องการจะจับกุมตัวเจ้า ในบรรดานั้นรวมถึงแดนลับเชื่อมวิถีซึ่งมีผู้สร้างมรรคาหนุนหลังอยู่ด้วย”
“ผู้สร้างมรรคาแล้วอย่างไรเล่า ข้า…”
เดิมทีหานเย่คิดจะเอ่ยถึงหานเจวี๋ย แต่ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เขายังมีคุณสมบัติพอจะเอ่ยถึงหานเจวี๋ยอีกหรือ
ตอนนี้ เชื้อสายตระกูลหานที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ทรงพลังมีมากมายเหลือเกิน เชื้อสายที่เคยฝ่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่อย่างเขาไม่ได้ดูโดดเด่นถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว หานเจวี๋ยจะยังให้ความเอ็นดูเขาจริงๆ น่ะหรือ
หานเย่ไม่มีความมั่นใจเลย
ถึงอย่างไรเขาก็มีเชื้อสายทายาทเช่นกัน อย่าว่าแต่ไม่ได้อยู่ร่วมกันมาหลายร้อยล้านแล้วเลย แค่แยกจากกันพันปีหมื่นปีเขาก็ไม่ไยดีเชื้อสายเหล่านั้นแล้ว
หานหลิงเอ่ยขึ้นว่า “ยอมรับผิดเถอะ เราจะขออภัยต่อพวกเขาแทนเจ้าเอง จะมอบการชดเชยให้ ต่อไปเจ้าจงอยู่ในวังจักรพรรดิมหาโชคแห่งนี้ปิดด่านทบทวนตัวหนึ่งหมื่นล้านปี รอจนชื่อเสียงของเจ้าสร่างซาไปจากยุคสมัยไร้สิ้นสุดแล้ว เจ้าค่อยออกไป”
หานเย่อึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบลง แรงกดดันจากผู้สร้างมรรคามหาศาลเกินไป ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
หากเขาออกไปจะต้องเผชิญปัญหาแน่นอน
หานเหยาลากหานเย่ลุกขึ้นมาทันที เอ่ยไปว่า “กระหม่อมจะพาเขาไปคุมขังเดี๋ยวนี้!”
หานป้าเสินก็เคลื่อนไหวตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเย่จึงถูกสหายทั้งสองคุมตัวออกไป
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว หานหลิงถึงได้ถอนหายใจออกมา
หานเย่คนนี้ทำให้นางกลัดกลุ้มใจโดยแท้
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้าสู่ตำหนักดั่งสายรุ้งสีทอง
เมื่อแสงทองสลายไป มู่หรงฉี่เผยตัวออกมา เขามองไปที่หานหลิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ไม่พบกันเสียนาน”
“เจ้ามาได้อย่างไร”
หานหลิงลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถาม น้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสัยเหมือนที่ถามออกไปเลย
มู่หรงฉี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคของอาจารย์ปู่ปรากฏขึ้นแล้ว อยู่ในโลกขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีกลุ่มอิทธิพลครอบครอง ตอนนี้ผู้ทรงพลังจากกลุ่มต่างๆ มุ่งหน้าไปปิดล้อมอยู่ ตกอยู่ในทางตัน ฝ่าบาทคิดเห็นประการใดเล่า”
หานหลิงถาม “เจ้าอยากได้หรือ อันเดียวคงไม่พอแบ่งกัน”
มู่หรงฉี่เลิกคิ้วเอ่ยไปว่า “ข้าจะช่วยให้ฝ่าบาทได้ครอบครอง แต่ฝ่าบาทต้องมอบทวนศักดิ์สิทธิ์อนธการให้ข้า”
ทวนศักดิ์สิทธิ์อนธการ เป็นยอดสมบัติที่เหนือล้ำกว่ายอดสมบัติฟ้าบุพกาล เคยเป็นศาสตราวุธที่หานฮวงใช้ออกศึกสร้างชื่อขึ้นมา ภายหลังตกมาอยู่ในการครอบครองของหานหลิง
หานหลิงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม “มีค่าพอจะเทียบกันได้หรือ อีกอย่าง เจ้าจะให้ความช่วยเหลืออันใดเราได้”
มู่หรงฉี่ยักไหล่เอ่ยไปว่า “โอกาสวาสนาของอาจารย์ปู่เชียวนะ ฝ่าบาทคิดดูเถิดว่าทวนศักดิ์อนธการจะเทียบได้หรือ ข้าสามารถรุกรานจู่โจมผู้ทรงพลังเหล่านั้นแทนฝ่าบาทได้ สร้างโอกาสให้แก่ฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทมีโอกาสได้เข้าไปสยบรับตัวผู้ครองครองโชควาสนา ซึ่งคนผู้นี้จะมีประโยชน์มหาศาล อาจจะกลายเป็นผู้สร้างมรรคาในอนาคตได้”
“ต่อให้ฝ่าบาทแข็งแกร่งเพียงใด ก็ต้องมีคนมาคอยเล่นละครหลอกล่อสร้างโอกาสให้ฝ่าบาทอยู่ดี หากให้คนของวังจักรพรรดิมหาโชคไปทำ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกจับได้แน่ จากเรื่องดีจะย่ำแย่ลงไปแทน”
หานหลิงเงียบไป
มู่หรงฉี่รอคอยอย่างอดทน
ผ่านไปนานพักใหญ่
หานหลิงเอ่ยขึ้นว่า “ตกลง!”
มู่หรงฉี่ยิ้มออกมา
….
ห้าร้อยล้านปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยืดเส้นยืดสายตามความเคยชิน
“ไม่เลวเลย ช่วงที่ผ่านมาตบะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเริ่มเห็นเค้าโครงแห่งความหมายที่แท้จริงของกฎเกณ์พื้นฐานขึ้นมาแล้ว”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเทียบกับช่วงที่เพิ่งฝ่าสู่ระดับเทพผู้สร้าง เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า ความก้าวหน้าเช่นนี้อย่าว่าแต่เทพผู้สร้างเลย หากอยู่ในหมู่ผู้สร้างมรรคาก็ยังดูน่าเหลือเชื่อเช่นกัน
ขนาดอดีตสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างเจ้านวฟ้าบุพกาลคิดจะฝ่าลวงระดับเล็กสักขั้นก็ยังต้องใช้เวลาหลายหมื่นล้านปีกว่าจะสำเร็จ
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูกล่องจดหมาย จดหมายในช่วงที่ผ่านมาสั่งสมล้นหลามอย่างยิ่ง สหายทั้งหมดล้วนมีความเคลื่อนไหวแทบทั้งสิ้น
ในที่สุดจี้เซียนเสินและฟางเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกเขาไปหาสวินเซิ่งจุนแล้ว ทั้งสามรวมตัวร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ
พอได้เห็นพวกเขาทั้งสาม หานเจวี๋ยก็นึกถึงเต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ขึ้นมา เป็นกลุ่มสามคนเช่นกัน พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามยังคงต่อสู้อย่างบ้าคลั่งอยู่ แต่เหล่าตานกลับหายตัวไปแล้ว หานเจวี๋ยทำนายดูเล็กน้อย ที่เหล่าตานหายไปเพราะถูกเหล่าจื่อผสานกลับเข้าสู่ร่าง
และเนื่องด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเหล่าจื่อ ก่อเหตุต่อสู้ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนใจที่พวกเขาสู้เหล่าจื่อไม่ได้เลย ล้วนพ่ายแพ้ราบคาบไปทุกครั้ง
หานเจวี๋ยไม่มีทางเข้าไปยุ่งเรื่องเหล่าตานและเหล่าจื่อ ถึงอย่างไรเหล่าตานก็เป็นร่างแยกของเหล่าจื่อ เหล่าจื่อสามารถเรียกคืนร่างแยกของตนได้จริงๆ จนปัญญาที่พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามผูกพันกับเหล่าตานอย่างลึกล้ำเหลือเกิน ไม่อาจทำใจยอมรับได้
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว คนที่ดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ยได้มากที่สุดก็คือมู่หรงฉี่
ในช่วงห้าร้อยล้านปีมานี้มู่หรงฉี่นับว่าออกศึกสังหารจนสร้างชื่อระบือนามขึ้นมาแล้ว เมื่อครอบครองทวนศักดิ์สิทธิ์อนธการก็ทำให้กลายเป็นเทพสงครามอย่างแท้จริง บุกตะลุยไปในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ท้ารบผู้ทรงพลังไปทั่ว
ผู้ครองครองอำนาจระบบที่หานเจวี๋ยโยนลงสู่โลกระดับล่างในกาลก่อนถูกหานหลิงรับเข้าสังกัดไปแล้ว
หานเจวี๋ยได้แต่ขบขันกับเรื่องนี้
วังจักรพรรดิจะสามารถสยบรั้งตัวเจ้าของระบบคนนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัดนัก
มีหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาในยุคสมัยไร้สิ้นสุดมากมายเหลือเกิน มีโลกมากมายที่กำลังก้าวหน้าพัฒนาตัวไปอย่างรวดเร็ว ทายาทตระกูลหานหลายสิบคนที่ได้รับสวรรค์ประทานโชคในหนึ่งร้อยครั้งก่อนก็เติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ก่อตั้งกลุ่มอิทธิพลของตนขึ้นมา
เมื่อสรรพสิ่งเกิดวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นก็บังเกิดมหาโชคใหม่ๆ ขึ้นในดินแดนเวิ้งว้างมากมายนัก!
………………………………………………………………
ตอนที่ 114 ความคืบหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...