บทที่ 1168 ปฐมยุคแทนที่เวิ้งว้าง
เจ้านวฟ้าบุพกาลเผชิญหน้ากับสี่ผู้สร้างมรรคาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเอ่ยถาม “ท่านต้องการทำเช่นไร”
เขาและมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็สมคบคิดทำข้อตกลงกับจิตมารของเจ้านวฟ้าบุพกาลเอาไว้แล้ว ผลคือจู่ๆ เจ้านวฟ้าบุพกาลก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน
เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยตอบว่า “เทพผู้สร้างฟื้นคืนชีพให้ข้า ให้โอกาสข้าอีกครั้ง นับจากนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับบ่วงกรรมอีก ส่วนจิตมารของข้า หากเป็นศัตรูกับเทพผู้สร้างก็เท่ากับเป็นศัตรูของข้าเช่นกัน”
สี่ผู้สร้างพลันกระจ่างขึ้นมาว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลถูกหานเจวี๋ยสยบด้วยวิธีการบางอย่างแล้ว มีเพียงจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ที่ทราบดีว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร อีกสามคนที่เหลือตกตะลึงยิ่ง
แม้แต่อดีตสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างเจ้านวฟ้าบุพกาลก็ยังเป็นเช่นนี้ไปได้…
พวกเขายังคงโอบกอดเสี้ยวความหวังหนึ่งต่อการเผชิญหน้าระหว่างอริยะสวรรค์เกรียงไกรและจิตมารของเจ้านวฟ้าบุพกาลอยู่
แต่ตอนนี้จิตมารของเจ้านวฟ้าบุพกาลกลับต้องเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันระหว่างร่างต้นของตนและอริยะสวรรค์เกรียงไกร…
ตอนนี้แม้แต่เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็เสียความมั่นใจไปเช่นกัน
สี่ผู้สร้างไม่ได้ถามมากอีก แยกย้ายกันจากไป
เจ้านวฟ้าบุพกาลส่ายหน้าเอ่ยพึมพำว่า “อันที่จริงเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อไม่ต้องถูกผูกมัดโดยคำว่าสุดยอดผู้แข็งแกร่งแล้ว บางทีข้าอาจจะฝ่าระดับได้ดีขึ้น”
สมัยก่อนในตอนที่ฝึกบำเพ็ญมักกังวลเรื่องจะถูกชนรุ่นหลังแซงหน้าอยู่ตลอด กังวลใจว่าฟ้าบุพกาลจะถูกทำลายล้าง มีเรื่องต้องกังวลมากมายเกินไปจริงๆ ทำให้เขาไม่อาจสงบใจฝึกบำเพ็ญได้
….
เจ้านวฟ้าบุพกาลไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยุคสมัยไร้สิ้นสุดเลย มีเพียงเหล่าผู้สร้างที่ทราบ ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าในซอกมุมหนึ่งของโลกปฐมยุค ฟ้าบุพกาลเริ่มก่อตัวฟูมฟักขึ้นมาแล้ว
เจ้านวฟ้าบุพกาลกลายเป็นสิ่งมีชีวิตปฐมยุคแล้ว โลกมหามรรคของเขาย่อมถือกำเนิดขึ้นในโลกปฐมยุค แน่นอนว่าเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้เช่นกัน แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อมีโลกปฐมยุคปกป้องอยู่ ฟ้าบุพกาลถึงจะสามารถพัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้น หากปล่อยไว้ด้านนอกอาจจะถูกจิตมารของเขาฉวยโอกาสใช้ประโยชน์ได้
หลังผ่านการสยบทาสจากคุกสวรรค์ปฐมยุค เจ้าฟ้าบุพกาลจงรักภักดีต่อหานเจวี๋ยอย่างสิ้นเชิง ย่อมมองจิตมารของตนเป็นศัตรูไปด้วย เพิ่มความระแวดระวังขึ้นมา
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะปิดด่านอีกครั้ง
พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปสองร้อยล้านปีแล้ว
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสองพันล้านปีบริบูรณ์แล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากปิดด่านทันที กวาดล้างสรรพสิ่ง สร้างสรรพสิ่งของตนขึ้น จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน โอกาสยกระดับความสามารถของระบบหนึ่งครั้ง]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน โอกาสยกระดับความสามารถของระบบหนึ่งครั้ง]
[ท่านได้รับสวรรค์ประทานโชคหนึ่งครั้ง]
รางวัลของสองตัวเลือกล้วนเหมือนกัน ครั้งนี้มีการยกระดับความสามารถของระบบปรากฏขึ้นมาแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบๆ
เขาเริ่มพิจารณาว่าสมควรจะยกระดับความสามารถใดของระบบดี
เขานึกถึงชายผมขาวขึ้นมา
‘ยกระดับความสามารถวิวัฒนาการ’
[ความสามารถวิวัฒนาการจะยกระดับขึ้นตามตบะของท่าน ไม่อาจยกระดับต่อได้อีก]
ยังไม่ได้สินะ
งั้นก็แล้วไปเถอะ เก็บไว้ก่อนแล้วกัน
ปัจจุบันนี้หานเจวี๋ยก็ไม่ได้พึ่งพาระบบอีกต่อไปแล้ว สำหรับเขาระบบก็เหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง
“ไม่ทันรู้ตัวก็อายุสองพันล้านปีแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างสะท้อนใจ
ถึงแม้กาลเวลาจะไร้ความหมายสำหรับเขา แต่การถูกระบบเอ่ยเตือนก็ยังคงทำให้เขาอดนึกถึงอดีตที่ผ่านไปไม่ได้
หลังจากสงบอารมณ์ลงแล้ว เขาสอดส่องดินแดนเวิ้งว้างอีกครั้ง
ในช่วงที่ผ่านมานี้ สิงหงเสวียนค้นพบเป้าหมายแล้ว นั่นก็คือการมอบโอกาสวาสนาให้ผู้บำเพ็ญวัยเยาว์ นางให้การเกื้อหนุนผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วน จากจำนวนผู้บำเพ็ญมากมายที่ผงาดสู่จุดสูงสุดแล้วนั้นทำให้นางได้รับฉายานาม
เทวีประจักษ์ฝัน
นางมอบโอกาสวาสนาให้ผู้อื่นผ่านการเข้าฝัน หลังจากส่งมอบโอกาสวาสนาแล้วก็จะรั้งอยู่เคียงข้างผู้ที่ได้รับวาสนานั้น ภายในความฝันผู้ที่ได้รับวาสนาทุกรายจะได้เห็นเพียงโครงร่างของนางเท่านั้น มองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริง
ฉายานี้ทำให้หานเจวี๋ยอยากหัวเราะยิ่งนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้ เหล่าสรรพสิ่งล้วนชมชอบเรียกขานเทพนารีผู้แกร่งกล้าว่าเทวีกันทั้งสิ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...