ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ นิยาย บท 139

สรุปบท บทที่ 139 วังสวรรค์ วังเทพ สำนักพุทธ: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ตอน บทที่ 139 วังสวรรค์ วังเทพ สำนักพุทธ จาก ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 139 วังสวรรค์ วังเทพ สำนักพุทธ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 139 วังสวรรค์ วังเทพ สำนักพุทธ

ขณะที่หานเจวี๋ยไล่ตามหาตราประทับหกวิถีบนร่างของประมุขมารจนพบนั้น ก็พบว่าด้านข้างยังมีตราประทับหกวิถีอยู่อีกอันหนึ่ง เมื่อสัมผัสดูอย่างละเอียดถึงรู้ว่าที่แท้ก็คือโม่จู๋

เขารีบเชื่อมต่อกับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติของโม่จู๋ และได้ยินคำพูดของประมุขมารเข้า

ที่แท้จิตใจชั่วช้าของเผ่ามารก็ยังไม่หายไปจริงๆ!

เมื่อได้ฟังวาจาปลิ้นปล้อนของประมุขมารแล้ว หานเจวี๋ยก็ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป

‘เจ้าจะตายหรือไม่!

ไม่จำเป็นต้องพูด!

ใช้ดรรชนีสังหารทันที จะได้เตือนสติพวกโม่ฟู่โฉวทั้งสามคนนั้น บอกพวกเขาว่าเผ่ามารไม่อาจกระทำสำเร็จ!’

โม่จู๋เป็นผู้ที่ได้สติก่อนใคร นางกลืนน้ำลายก่อนกล่าวขึ้นมาว่า “เขาก็ตายเช่นนี้หรือ”

สีหน้าของสตรีชุดดำเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว

นางก็คือโม่โยวหลิง ประมุขรุ่นสองของตระกูลโม่ที่มีตบะระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นห้า!

ในบรรดาทั้งสามนางมีตบะที่สูงที่สุด เพราะอย่างนั้นการรับรู้จึงลึกซึ้งยิ่งกว่า

ประมุขมารทำให้นางสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุด กระทั่งทำให้นางรู้สึกหายใจลำบาก

ผู้แข็งแกร่งระดับนี้กลับถูกผู้ฝึกสายกระบี่ลึกลับสังหารภายในชั่วพริบตา!

ผู้ที่ลงมือจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน

“โชคดีที่พวกเราไม่ได้ตอบรับเขาออกไปทันที ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะต้องตายไปด้วยแล้ว” โม่ฟู่โฉวกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

อธรรมหรือจะสู้ธรรมะ!

โม่ฟู่โฉวทำมรรคจิตให้มั่น แม้ว่าจะเขากลายเป็นมารแท้ แต่เขาก็จะเป็นมารแท้ที่มีจิตใจคุณธรรม!

โม่จู๋รีบร้อนหันไปคารวะในแต่ละทิศทาง กล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้อภัย! ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้อภัย! ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้อภัย…”

นางกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออีก

หานเจวี๋ยได้ยินคำพูดของนางก็อดหัวเราะไม่ได้

ทั้งสามไม่ได้รั้งอยู่นาน รีบจากไปอย่างรวดเร็ว

โม่ฟู่โฉวมองไปทางโม่โยวหลิง เอ่ยถามว่า “หลังจากนี้พวกเราจะไปที่ใด”

โม่โยวหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “ตามหาคนในตระกูลที่แยกย้ายกระจัดกระจายไปทั่วหล้า จากนั้นก็กลับไปยังดินแดนของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ใหญ่โต ที่ตกค้างอยู่ในต้าเยี่ยนของพวกเจ้านั้นเป็นเพียงกลุ่มก้อนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ขณะที่ตระกูลของพวกเราเผชิญกับการถูกฆ่าล้างสังหาร คนในตระกูลในพื้นที่ต่างๆ ก็เจริญรอยตามเช่นกัน แต่ก็ไม่ต่างจากพวกเจ้า มักจะมีคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่”

โม่ฟู่โฉวพยักหน้าลง

โม่จู๋ดูเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา

นางอยากพูดว่า ในเมื่อตระกูลโม่ไม่แก้แค้นแล้ว เช่นนั้นนางก็สามารถกลับไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ได้ใช่หรือไม่

แต่เมื่อกลับมาครุ่นคิดดูอีกที คนตระกูลโม่ยังต้องการการช่วยชีวิต ตอนนี้นางไม่อาจละทิ้งภาระหน้าที่แล้วจากไปได้

ผ่านไปนานหลายปีเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหานเจวี๋ยกับสิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะต้องใกล้ชิดมากกว่าเดิมเป็นแน่ ‘ข้ากับหานเจวี๋ยจะค่อยๆ ยิ่งห่างไกลกันมากกว่าเดิมหรือไม่นะ’

เมื่อคิดเช่นนี้ โม่จู๋ก็เป็นกังวลเรื่องของตนเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

……

หลังจากฆ่าสังหารประมุขมารแล้ว หานเจวี๋ยรู้สึกสบายใจไม่น้อย

รีบสังหารก็ดี เจ้าหมอนี่จะได้ไม่เล่นลูกไม้อะไรที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในใต้หล้า และลามมากระทบการฝึกฝนของเขาอีก

แต่จะว่าไป เผ่ามารแข็งแกร่งเพียงใดกัน

เหตุใดเทพเซียนถึงไม่ลงมือ

หากหานเจวี๋ยเป็นประมุขวังสวรรค์ มองเห็นเผ่ามารโจมตีโลกมนุษย์ ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเผ่ามารกำลังพัฒนาใต้พิภพ แน่นอนว่าจะต้องขัดขวาง

หานเจวี๋ยคิดว่าจะต้องมีปัญหาในนั้นเป็นแน่

หรือว่าจะสอบถามจั้งกูซิงดูสักหน่อย

หานเจวี๋ยคิดว่าน่าจะได้ ดังนั้นจึงเริ่มทำความเข้าใจไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิ ยกระดับแก่นแท้ของพลังวิเศษนี้

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น

ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ทำให้ผู้คนในใต้หล้าพากันวิพากษ์วิจารณ์ ประกอบกับกระแสลมในใต้หล้า ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่จึงพากันคิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่งได้กำเนิดบุตรแห่งสวรรค์ที่โดดเด่นขึ้นมา!

“จริงหรือ”

“จริง!”

จั้งกูซิงนับนิ้วคำนวณดูแล้ว ทอดถอนใจกล่าว “เจ้านี่ช่างน่าเบื่อเสียจริง”

หานเจวี๋ยแทบจะกระอักเลือดออกมา

‘เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย’

หานเจวี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านเคยได้ยินชื่อจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินหรือไม่”

“เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน นั่นคือเทพสงครามอันดับหนึ่งของวังเทพ แตกดับไปนานแล้ว เคยเป็นผู้ที่ไร้คู่ต่อกรในระดับจักรพรรดิเซียน”

“เทียบกับท่านแล้วเป็นเช่นไร”

“ห่างชั้นกันมาก”

“ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินกับวังเทพเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่แน่ชัด กล่าวกันว่าเหตุที่จักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินแตกดับนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้กันภายในวังเทพ จักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินถูกจักรพรรดิเซียนเผ่าปีศาจจำนวนมากล้อมโจมตี วังเทพไม่ได้ส่งกำลังสนับสนุน หลังจากจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินแตกดับไปแล้ว วังเทพก็ไม่ได้สร้างรูปเคารพเทพให้เขา”

พอหานเจวี๋ยได้ยินก็ลอบคิดว่าไม่ได้การ

‘นี่คือแค้นเลือดขนาดใหญ่ของมู่หรงฉี่!

วังเทพ ไม่อาจไปได้!’

“รีบขึ้นสรรค์เถิด อย่าได้เสียเวลาเลย ด้วยคุณสมบัติเช่นเจ้า เพียงแค่เข้าร่วมกลุ่มกับอำนาจใหญ่ ศัตรูเหล่านั้นย่อมไม่อาจสร้างความลำบากให้กับเจ้าได้” จั้งกูซิงโบกมือกล่าว

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ศัตรูคู่แค้นของข้าคือจูเชวี่ย”

“จูเชวี่ย? เช่นนั้นเจ้าก็อย่าขึ้นไปเลย รีบละสังขารเถิด”

จั้งกูซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “เจ้าไปยั่วยุจูเชวี่ยได้อย่างไร เผ่าวิหคชาดเป็นสัตว์เทพโชคชะตา แม้แต่วังสวรรค์ วังเทพ และสำนักพุทธยังต้องเอาใจ หากจูเชวี่ยสร้างความลำบากให้เจ้า คาดว่าทั้งสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่คงทำเป็นมองไม่เห็น ต่อให้พรสวรรค์เจ้าจะล้ำเลิศมากกว่านี้เพียงใด แต่เจ้าก็มาจากโลกมนุษย์ ไม่สามารถเทียบกับจูเชวี่ยได้”

“ฟังคำแนะนำของข้า สลายพลังแล้วบำเพ็ญเพียรใหม่เถอะ กระโดดเข้าสู่วัฏสงสาร เปลี่ยนสถานะใหม่”

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ