บทที่ 443 อาจารย์ของซูฉี
หานเจวี๋ยสาปแช่งอริยะมิ่งจีได้เพียงห้าวัน ไม่ถึงขั้นปลิดชีพ แค่ได้ก่อกวนฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นพอ
นี่มันผ่านมากี่ปีกันแล้ว! ในที่สุดก็ได้สาปแช่งศัตรูสักที!
หานเจวี๋ยเกือบลืมรสชาติของการสาปแช่งผู้คนไปเสียแล้ว
กฎเกณฑ์เก่าแก่ สาปแช่งศัตรูทุกๆ สิบปี!
‘เขาคงจะเดาอยู่ว่าใครสาปแช่งตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะคาดเดาว่าเป็นฝีมือของอริยะผู้อื่น’
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
แม้ว่าการก่อกวนจากเบื้องหลังเช่นนี้จะชั่วร้ายสุดๆ แต่ก็ช่างรู้สึกโล่งใจเสียจริงๆ
หานเจวี๋ยทำได้เพียงภาวนาขอให้ซูฉีหลีกหนีจากเคราะห์ไปได้ด้วยเหตุนี้
เมื่อใดที่เขาสำแดงพลังวิเศษทลายมรรคา เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกอริยะไม่ปล่อยเขาไปแน่ ส่วนอริยะมิ่งจีจะปกป้องเขาหรือไม่นั้น ก็ยากที่จะบอกได้
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อไป
…
พระราชวังเทียมเมฆา ฟางเหลียงนั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ ในท้องพระโรงประกอบไปด้วยหลี่เต้าคง หลี่เสวียนเอ้า หวงจี๋เฮ่าและคนอื่นๆ
ชายผู้หนึ่งที่รอบกายโอบล้อมไปด้วยบรรยากาศมาคุเอ่ยถามขึ้น “ฝ่าบาท เหตุใดอริยะจึงยังมาไม่ถึงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คนผู้นั้นคือฟางฮวงจุน ผู้นำตระกูลฟาง
หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงเอ่ย “อริยะคงจะวางมาดใหญ่โตเป็นแน่”
หวงจี๋เฮ่าได้ยินดังนั้น เหงื่อเย็นก็พลันไหลออกมา ศิษย์ของอริยะพวกนี้ช่างใจกล้าเสียจริง เหตุใดถึงบังอาจพูดถึงอริยะเช่นนี้ได้
ฟางเหลียงสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ยังคงรอคอยต่อไปอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปชั่วก้านธูป
คนสองคนเหาะเข้ามายังพระราชวังเทียมเมฆา ผู้ที่นำหน้ามาคืออริยะมิ่งจี ลักษณะของเขาดั่งผู้วิเศษ ลุ่มลึกสุดหยั่งถึง
ส่วนสิ่งที่ตามหลังอริยะมิ่งจีมาคือไอของสิ่งอัปมงคล เมื่อไอวิญญาณนั้นสลายไป ก็ปรากฏเป็นร่างของชายในชุดสีดำขึ้น
เมื่อฟางเหลียงได้เห็นชายในชุดดำ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อาจารย์ลุงซูฉี…”
ฟางเหลียงขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อซูฉีเห็นฟางเหลียง ก็หรี่ตาลง
ทั้งสองเพียงแต่ปะทะสายตา ไม่ได้กล่าวคำทักทายใดๆ
ฟางเหลียงลุกขึ้น ค้อมกายเป็นการคารวะ คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับอริยะ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังต้องคารวะ
อริยะมิ่งจีกล่าวว่า “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของข้ามีนามว่าซูฉี เคยเป็นดาวตัวซวยแห่งวังสวรรค์มาก่อน ได้รับวิชาสืบทอดจากข้า จะมารับใช้วังสวรรค์จากนี้เป็นต้นไป”
ฟางเหลียงยิ้มแล้วจึงกล่าว “ขอขอบคุณการสนับสนุนจากท่านอริยะ”
หลี่เสวียนเอ้าขมวดคิ้วถาม “เขาเป็นเพียงจักรพรรดิเซียน จะช่วยเหลืออะไรพวกเราได้หรือ วังสวรรค์ไม่ได้ขาดแคลนจักรพรรดิเซียนเสียหน่อย”
ซูฉีกล่าวอย่างใจเย็น “ข้ามิได้เป็นเพียงจักรพรรดิเซียน หากเจ้าไม่ยอมรับ กล้าประมือกับข้าสักยกหรือไม่เล่า”
สิ้นคำ หลี่เสวียนเอ้าก็ยิ้มออกมา
เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าและเอ่ย “เข้ามาสิ ข้าต่อให้เจ้าหนึ่งกระบวนดาบ และจะไม่โจมตีกลับด้วย”
หลี่เต้าคงจ้องมองซูฉีเขม็ง คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ซูฉีไม่รีรอ ก้าวไปข้างหน้าเตรียมยกมือขึ้น
“ช่างเถอะ ฝ่าบาทยอมรับเขาไปแล้วนี่” หลี่เต้าคงตัดบทฉับ
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูฉีก็ลดมือขวาที่เพิ่งยกขึ้นเมื่อครู่ลง
หลี่เสวียนเอ้าพลันรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็เชื่อว่าที่หลี่เต้าคงต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงได้พูดเช่นนั้น
อริยะมิ่งจีกล่าวพร้อมพยักหน้า “ขอท่านอริยะเผ่ามนุษย์อย่าได้กังวลใจ อริยะของเราจะจัดการเอง”
เมื่อสิ้นเสียง อริยะมิ่งจีก็หายตัวไปจากท้องพระโรงทันที
ฟางเหลียงมองไปยังซูฉีพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าและกล่าว “ไม่เจอกันนานเลยนะขอรับ อาจารย์ลุง”
อาจารย์ลุง!
ทุกคนต่างตกตะลึง
ใบหน้าเฉยชาของซูฉีเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้ากลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ได้อย่างไร”
ฟางเหลียงนั่งลงอีกครั้ง และกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องมันยาว ว่าแต่ท่านไปเข้าพวกกับอริยะได้อย่างไร อาจารย์ปู่รู้หรือไม่”
เมื่อพูดถึงหานเจวี๋ย ซูฉีก็ทำสีหน้าหน่ายใจออกมา “ไม่รู้หรอก อันที่จริง ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเผชิญหน้ากับท่านอย่างไร”
หลี่เสวียนเอ้าเรียกคืนสติกลับมา หากซูฉีคืออาจารย์ลุงของฟางเหลียง เช่นนั้นก็ต้องเป็นลูกศิษย์ของคนผู้นั้นน่ะสิ
เขาอดใจสั่นไม่ได้เมื่อนึกถึงครั้งที่เผชิญกับหัตถาสวรรค์มหาวิมุตของหานเจวี๋ย
เขาไม่มีทางลืมภาพของหานเจวี๋ยที่สยบหลี่เต้าคงด้วยกระบวนดาบเดียวลงได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...