ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ นิยาย บท 479

บทที่ 479 การแย่งชิงตำแหน่งอริยะ ความเสียใจของหลงเฮ่า

หลังจากออกกำลังกายแล้ว หานเจวี๋ยก็ก้าวออกมาจากอารามเต๋าและถ่ายทอดเสียงเรียกทุกคน เตรียมพร้อมแสดงธรรม

เมื่อได้ยินว่าหานเจวี๋ยจะแสดงธรรม ทุกคนพากันไปยังภูเขา

ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหุบเขาสองลูก กลายเป็นสถานที่แสดงธรรมของสำนักซ่อนเร้น

ทุกคนตั้งตารอคอยการแสดงธรรมจากหานเจวี๋ยอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่สิ้นสุดการแสดงธรรม พวกเขาต่างก็ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเสมอ

การแสดงธรรมครั้งนี้ หานเจวี๋ยตัดสินใจพูดถึงมหามรรคต้นกำเนิด

รีบดึงเผ่าเอกามาเป็นพวกให้เร็วที่สุดก่อนดีกว่า จักรพรรดินีผืนพิภพจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้อีก

หากเผ่าเอกาบำเพ็ญมหามรรคต้นกำเนิดได้ครบหมดทุกคนแล้ว พวกเขาก็จะติดตามหานเจวี๋ยต่อไปในภายภาคหน้า!

สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในเขตเซียนร้อยคีรีก็แอบฟังธรรมไปด้วย ซึ่งหานเจวี๋ยก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง

หานเจวี๋ยไม่กลัวว่าจะถูกขโมยความรู้ไปแม้แต่น้อย

ตราบใดที่ฝึกบำเพ็ญมหามรรคต้นกำเนิด ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเลื่อมใสในตัวเขากันทั้งสิ้น

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมอริยะถึงขยันแสดงธรรมแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย

เพราะมีอริยะจำนวนมาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อริยะจะแสดงธรรมต่อหน้าธารกำนัลได้โดยตรง ทำได้เพียงเชิญผู้ทรงพลังมาที่สวรรค์ชั้นฟ้าที่สามสิบสามบ้างเป็นครั้งคราว

กาลเวลาดำเนินไปเช่นนี้

คืนวันผันผ่าน

ห้าสิบปีผ่านไปในชั่วพริบตา

หานเจวี๋ยกลับมายังอารามเต๋า พร้อมกับดวงจิตประหลาดที่ติดตามมาด้วย

หานเจวี๋ยจ้องมองดวงจิตประหลาดที่ไม่ค่อยได้เจอในยามปกติ แล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทอดถอนใจ “เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน”

ดวงจิตประหลาดมาอยู่ข้างหลังและเริ่มถูไถตัวเขา

หานเจวี๋ยตระหนักว่าตนเองนั้นแก่เหลือเกิน ถึงได้รู้สึกโหยหาวันเวลาที่ผ่านไปอยู่ตลอด

เขาแก่แล้วจริงๆ อายุปาเข้าไปหมื่นกว่าปีแล้ว

หนึ่งหมื่นปี ยาวนานพอที่จะเปลี่ยนผืนทะเลเป็นทุ่งนา เผ่าพันธุ์ต่างๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนไป

โหยหาก็ส่วนโหยหา แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องอุทิศตนเพื่อฝึกบำเพ็ญต่อไป

หานเจวี๋ยเริ่มที่ควบรวมปราณเทพมารภายในโลกดารา สร้างเป็นร่างจำลองเทพมารออกมา

ไม่ต้องกล่าวถึงเทพมารสามพันตน ลำพังแค่ร่างจำลองเทพมารหนึ่งส่วนจากสามพันตนเขายังสร้างไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ

แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในช่วงเวลาบำเพ็ญที่แสนยาวนานและน่าเบื่อหน่าย จำต้องมีภารกิจท้าทายกันบ้าง

เป้าหมายระยะใกล้แต่ละอย่าง จะพาเขาไปสู่เป้าหมายที่อยู่ไกลออกไปได้

สวรรค์ชั้นฟ้าที่สิบสาม เผ่าสวรรค์

ภายในพระราชวังสีทองเรืองรอง จี้เซียนเสินและฟางเหลียงประจันหน้ากัน

จี้เซียนเสินเดินกลับไปกลับมา สองมือไพล่หลัง คิ้วขมวดแน่น

ฟางเหลียงกล่าวอย่างหมดความอดทน “ท่านจะเดินไปเดินมาอีกนานหรือไม่ ท่านเป็นถึงบรรพชนสวรรค์เชียวนะ!”

จี้เซียนเสินหยุดเดิน แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ให้ข้าร้อนใจได้หรือ พวกอริยะกล่าวว่าจะเลือกอริยะคนใหม่ และอริยะผู้นี้ก็ไม่ได้มาจากเผ่าสวรรค์ ต่อไปจะมีกลุ่มอิทธิพลใหม่ที่ขึ้นมาต่อกรกับเผ่าสวรรค์อีกน่ะสิ!”

เพียงพูดถึงเรื่องนี้ จี้เซียนเสินก็กระทืบเท้าดังปัง

เผ่าสวรรค์มีผู้คนหลากหลาย แต่ไม่มีพรรคพวกของเขาคนใดที่แข็งแกร่งพอจะชิงตำแหน่งอริยะ

ตอนนี้จี้เซียนเสินรู้สึกเกลียดตัวเองที่เกิดช้าเกินไป หากว่าเขาเกิดเร็วกว่านี้สักสองถึงสามหมื่นปี บางทีเขาอาจจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งอริยะเสียเองก็เป็นได้!

ฟางเหลียงกล่าว “อันที่จริงไม่จำเป็นต้องกังวล อริยะไม่ได้กล่าวว่าจะประกาศตำแหน่งอริยะเมื่อใด มหาเคราะห์ก่อนหน้านี้เพิ่งสิ้นสุดไปได้ไม่นาน ต่อให้เป็นครึ่งอริยะที่ต้องการพิสูจน์มรรคเป็นอริยะก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปี”

สีหน้าของจี้เซียนเสินอ่อนลงเล็กน้อย คิดว่าคำพูดดังกล่าวฟังดูมีเหตุผล

ทว่าจู่ๆ เขาก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ย “อาจารย์ปู่ของเจ้าขับไล่หลี่เต้าคงไปได้ไม่ใช่หรือ หรือจะส่งเขาไปชิงตำแหน่งอริยะดี”

ฟางเหลียงกล่าวด้วยความลำบากใจ “เห็นทีคงจะไม่ดีเท่าไร อาจารย์ท่านไม่ชอบให้ถูกรบกวน…”

“เจ้าเขลาหรืออย่างไร หากเขากลายเป็นอริยะ ภายหน้ายังจะมีใครกล้ารบกวนเขาอีกอย่างนั้นหรือ เป้าหมายสูงสุดในการบำเพ็ญของเขาไม่ใช่การเป็นอริยะหรืออย่างไร พวกเรามอบโอกาสวาสนาให้เขาถึงเพียงนี้ เขามีแต่จะยิ่งรู้สึกยินดี”

จี้เซียนเสินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าตั้งแต่สิ้นสุดมหาเคราะห์สติของฟางเหลียงก็ไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก เมื่อก่อนออกจะเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ต้องโทษพวกอริยะที่อยู่เบื้องบนทั้งหลาย

ฟางเหลียงกล่าวพลางถอนใจ “ก็ได้ ข้าจะลองถามดู”

หลังจากสิ้นสุดการแสดงธรรม เวลาก็ผ่านไปอีกยี่สิบปี

อยู่มาวันหนึ่ง หานเจวี๋ยก็รู้สึกถึงจิตรับรู้ที่ส่งผ่านมาถึงป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ เขาจึงหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ