ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ นิยาย บท 67

บทที่ 67 โสมวิญญาณบรรพกาล สามตัวเลือกการบำเพ็ญที่สำคัญ
กี่ปีแล้ว!

ในที่สุดก็พบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอีกครั้ง!

หานเจวี๋ยรู้สึกสนใจในทันที รีบตรวจสอบที่มาของคนผู้นี้

[สวินฉางอัน: ระดับสร้างฐานขั้นเจ็ด โสมวิญญาณบรรพกาลกลับชาติมาเกิด ชาติก่อนถูกเลี้ยงดูโดยสำนักพุทธ เพราะตกหลุมรักกับปีศาจสาวชั่วขณะ ทำให้พุทธาเทพพิโรธ และส่งเขามายังโลกมนุษย์ เพื่อผ่านด่านเคราะห์รักชั่วกัลปาวสาน มีเพียงแค่การลืมเลือนรักและสะบั้นรักเท่านั้นถึงจะหลุดพ้นจากทุกข์แห่งวัฏจักรได้ ชาตินี้เป็นชาติที่สามสิบเก้า สวินฉางอันเกิดในตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร แม้ว่าจะมีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่เนื่องจากเกิดมาอัปลักษณ์ คนในดวงใจจึงไม่รัก หลังจากถูกหญิงที่รักโจมตีด้วยคำพูดเหน็บแนม ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจจนโกนผมออกบวช เมื่อได้ยินว่าผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นผู้มุมานะบำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งในใต้หล้า จึงตั้งใจมากราบเป็นศิษย์ คิดที่จะฝึกฝนกับผู้อาวุโสสังหารเทพ ลืมเลือนโลกีย์วิสัย ขอย้ำเป็นพิเศษ โสมวิญญาณบรรพกาลสามารถเพิ่มพลังวิญญาณฟ้าดินในขอบเขตที่กำหนด นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณสมบัติของสวินฉางอันเลิศล้ำ]

หานเจวี๋ยมองดูด้วยความตกตะลึง

โสมวิญญาณบรรพกาลกลับชาติมาเกิด?

มาหาข้าโดยเฉพาะหรือ

หานเจวี๋ยมีสีหน้าแปลกประหลาด เขาสังเกตเห็นประโยคสุดท้าย

โสมวิญญาณบรรพกาลสามารถเพิ่มพลังวิญญาณฟ้าดินได้!

เยี่ยมมาก!

เครื่องมือเพิ่มพลังวิญญาณในรูปแบบของร่างมนุษย์หรือ

หานเจวี๋ยใช้พลังจิตตรวจดู

สวินฉางอันได้มาถึงตีนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนแล้ว

เจ้าหมอนี่ก็อัปลักษณ์จริงๆ ด้วย

เครื่องหน้าทั้งห้าแปลกประหลาด คิ้วเป็นเส้นตรง บนหน้ายังมีไฝดำเม็ดใหญ่หลายเม็ดที่มีขนยาวงอกออกมา รูปร่างลักษณะก็สามารถพูดได้เพียงว่าธรรมดามาก เขาสวมใส่ชุดจีวร หัวโล้นเป็นประกาย

สวินฉางอันเดินมาตรงหน้าศิลาจารึกก้อนหนึ่ง อ่านขึ้น “เพียรบำเพ็ญเซียน…คิดว่าที่นี่จะต้องเป็นถ้ำเทวาของผู้อาวุโสสังหารเทพอย่างแน่นอน”

สวินฉางอันดวงตาเป็นประกายขึ้นมา คุกเข่าลงหน้าศิลาจารึกทันที

เขาประนมมือ ตะโกนเสียงดังฟังชัด “อาตมาสวินฉางอัน ต้องการกราบผู้อาวุโสสังหารเทพเป็นอาจารย์!”

กล่าวจบเขาก็เริ่มก้มคำนับกับพื้น

ตั้งแต่สำนักทั้งสิบเก้ากลับไปอย่างอดอาลัยตายอยาก ผู้อาวุโสสังหารเทพก็เป็นราวกับเทพในแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน ตำนานของเขาในรูปแบบต่างๆ ก็ถูกเล่าลือออกไปทั่ว

นอกจากความแข็งแกร่ง ที่โดดเด่นที่สุดก็คือจิตใจที่มุมานะฝึกฝน

สวินฉางอันเคยพบเจอกับศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์ และเคยสอบถามจนได้ทราบว่าผู้อาวุโสสังหารเทพก็มุมานะฝึกฝนจริงๆ นอกจากจะทะลวงระดับและต้านทานผู้บุกรุกแล้ว ก็ราวกับว่าเขาจะไม่ออกไปจากถ้ำเทวาของตนเองเลย

สวินฉางอันรู้สึกว่าคนผู้นี้สามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ระทมได้

เขาไม่อยากจะรักอีกแล้ว

ไม่อยากคิดถึงใบหน้าที่งดงามนั้นอีก

หานเจวี๋ยได้ฟังคำพูดของเขา แต่ก็ไม่ได้สนใจ

แม้สวินฉางอันจะสามารถช่วยเพิ่มพลังวิญญาณฟ้าดินได้ แต่ก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาได้เช่นกัน

หานเจวี๋ยไม่อยากรับใครเป็นศิษย์ง่ายๆ

เมื่อสวินฉางอันไม่ได้รับการตอบกลับ เขาจึงยังคงคุกเข่าต่อไป

วสันตฤดูผ่านพ้น สารทฤดูเข้ามาเยือน

สวินฉางอันเริ่มมีชื่อในสำนักหยกพิสุทธิ์ ผู้บำเพ็ญอิสระหัวโล้นผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าเขาเพียรบำเพ็ญเซียนทุกคืนวันเพื่อที่จะกราบผู้อาวุโสสังหารเทพเป็นอาจารย์ ความตั้งใจนี้ถูกผู้คนนำมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

มีศิษย์ผ่านไปผ่านมาแถวนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งตั้งใจมาดูสวินฉางอันโดยเฉพาะ

ด้วยการกล่าวเตือนของเหล่าผู้อาวุโสในสำนักหยกพิสุทธิ์ ทำให้บรรดาศิษย์ไม่กล้าอยู่ที่เขาเพียรบำเพ็ญเป็นเซียนเป็นเวลานาน

ที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ กลับไม่มีใครมาขับไล่สวินฉางอันเลย

หานเจวี๋ยคาดคะเนว่าสวินฉางอันมาจากตระกูลบำเพ็ญเซียนที่ไม่ธรรมดา บางทีหลี่ชิงจื่ออาจจะแอบอนุญาตให้เขาเข้ามากราบตัวเป็นศิษย์

นอกจากประโยคที่ตะโกนขึ้นในตอนแรกแล้ว หลังจากนั้นสวินฉางอันก็ไม่ได้ตะโกนอะไรออกมาอีก

เขาคุกเข่าต่อหน้าศิลาจารึกตลอดเวลา และมักจะคำนับกับพื้นเป็นครั้งคราว

เขาคุกเข่านานเป็นเวลาห้าปี

ห้าปีเต็มๆ

ที่สวินฉางอันไม่เคยลุกขึ้นเลย

หานเจวี๋ยรู้สึกใจอ่อนกับจิตใจอันแน่วแน่ของเขา

จิตใจมุมานะบำเพ็ญเพียรของเจ้านี่ไม่เลวเลย คิดว่าหากเข้ามาแล้วคงไม่สร้างปัญหาหรอกกระมัง?

วันนี้เอง

โม่จู๋มาเยี่ยมเยียน

หากนับดูแล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่ได้พบนางมาเป็นเวลาหลายสิบปี นางฝึกฝนอยู่ในตำหนักลับของสำนักหยกพิสุทธิ์มาโดยตลอด

หานเจวี๋ยโบกมือปลดค่ายกลคุ้มกันภูเขาออกเพื่อให้โม่จู๋เข้ามาภายในถ้ำเทวา

ไม่ได้พบกันหลายสิบปี โม่จู๋ได้ถอดรูปลักษณ์ไร้เดียงสาในอดีตออกไปแล้ว ขณะนี้นางดูคล้ายกับเซียนนางหนึ่ง

นางสวมชุดดำทั้งตัว และมองดูหานเจวี๋ยด้วยแววตาซับซ้อน

หานเจวี๋ยเห็นลักษณะของนางเช่นนี้ ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางโม่ นี่เจ้าจะเดินตามรอยพี่ชายของเจ้าเข้าสู่ทางสายมารหรือ”

โม่จู๋ทอดถอนใจกล่าว “ไม่ผิด ข้าเตรียมไปจากสำนักหยกพิสุทธิ์ ไปตามพี่ชายของข้า และร่วมมือกันแก้แค้น”

แก้แค้น?

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ยังไม่สามารถปล่อยวางบุญคุณความแค้นได้อีกหรือ”

เขาปล่อยพลังจิตส่วนหนึ่งออกไปทันที

“ข้าคิดว่าข้าได้ปล่อยวางไปแล้ว แต่บำเพ็ญเพียรมาจนถึงวันนี้ ความแค้นในอดีตกลับกลายเป็นมารในใจของข้า หากข้าไม่อาจฝ่าไปได้ มารในใจก็จะพันผูกข้าไว้ตลอด ทำให้ข้าไม่อาจบรรลุระดับปราณก่อกำเนิดได้ตลอดกาล ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็ตั้งใจมาลาท่าน”

โม่จู๋สูดหายใจลึกๆ ก่อนกล่าว “ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ นอกจากพี่ชายที่เป็นญาติสนิทของข้าแล้ว คนที่ข้าใส่ใจมากที่สุดก็คือท่าน ท่านเคยช่วยข้าไว้ และท่านก็เป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่ทำให้ใจข้าสั่นไหว”

คิ้วของหานเจวี๋ยขมวดมากขึ้นกว่าเดิม

แย่แล้ว!

นี่คือการสารภาพรักหรือ!

“ที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้กับท่าน ก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านทำอะไรให้ข้า ข้ารู้ว่าท่านมีจิตใจมุ่งไปทางเต๋า หากวันหน้าข้ายังสามารถกลับมาได้ ข้าจะมุมานะฝึกฝนแสวงมหามรรคาไปพร้อมกับท่าน” โม่จู๋เผยรอยยิ้มออกมา

“มีคำพูดบางอย่าง ข้าเกรงว่าหากข้าไม่พูด…อาจจะเสียใจในภายหลัง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ