บทที่ 679 ไม่ยอมแพ้
ณ แดนต้องห้ามอันธการ มีทวีปหนึ่งล่องลอยอย่างเงียบเชียบ
มีวิหคปีศาจนับไม่ถ้วนบินวนห้อมล้อมรอบทวีป ถึงขนาดที่มีสิ่งมีชีวิตที่ผ่านการแปลงกายแล้วสวมชุดเกราะคอยลาดตระเวนดู
ผืนทวีปกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง ในทวีปมีทิวเขาทอดตัวเชื่อมโยง แม่น้ำลำธารตัดไขว้ที่ใจกลางทวีปกว้างสุดลูกหูลูกตา
เวลานี้เอง บนที่ราบรกร้างผืนหนึ่ง ฟ้าแลบผสานกับสายฟ้า ทั้งหมดรวมกันผ่าลงบนเงาร่างหนึ่ง
นั่นคือโจวฝาน!
โจวฝานเปลือยท่อนบนนั่งสมาธิอยู่บนพื้น ปล่อยให้สายฟ้าฟาดลงบนร่างโดยสีหน้าเขาไม่แปรเปลี่ยน ร่างกายดังหินผา ไม่สะท้านสะเทือนเลยสักนิด
“กลับตำหนัก”
เสียงหนึ่งแว่วเข้าหูโจวฝาน โจวฝานกลายร่างเป็นสายฟ้าพุ่งสู่ชั้นเมฆ หายลับไป
สุดเขตพื้นที่ราบ มียอดเขาสูงตระหง่านเสียดเมฆา บนยอดเขามีตำหนักยิ่งใหญ่อลังการหลังหนึ่งตั้งอยู่ รูปร่างดุดันน่าผวา ราวกับมีสัตว์ฟ้าบุพกาลตัวหนึ่งหมอบราบอยู่
สายฟ้าเส้นหนึ่งพุ่งเข้าสู่ตำหนักใหญ่ แปลงกายเป็นมนุษย์ร่อนลงสู่พื้น
โจวฝานเงยหน้ามอง ก่อนเอ่ย “มีเรื่องใดหรือขอรับ”
เมื่อมองตามสายตาของเขาไป ด้านหน้ามีบันไดทอดตัวเป็นขั้นๆ สูงขึ้นไปเหนือบันไดยาวร้อยขั้นมีบัลลังก์ศิลาใหญ่มหึมาตั้งอยู่ บุรุษชุดดำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ศิลา เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
หากหานเจวี๋ยอยู่ที่นี่ด้วย ต้องจดจำตัวตนของเขาได้แน่ อริยะเจ็ดวิถี!
อริยะเจ็ดวิถีทอดสายตามองโจวฝาน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพิสูจน์มรรคแล้ว วางแผนจะทำอย่างไรต่อไป”
โจวฝานตอบ “ขอบพระคุณท่านยิ่ง ข้าติดค้างหนี้บุญคุณท่านหนึ่งครั้ง ท่านพูดมาเถิด จะให้ข้าตอบแทนบุญคุณอย่างไร แน่นอน ขอแจ้งไว้ก่อนว่าต้องไม่ขัดต่อหลักการและบรรทัดฐานของข้า!”
โจวฝานที่พิสูจน์มรรคสำเร็จแล้วมีความมั่นใจในตัวเองยิ่งกว่าเดิม
อริยะเจ็ดวิถีถามหยั่งเชิง “หากข้าให้เจ้าไปทำลายมรรคาสวรรค์ เจ้ายินยอมหรือไม่”
โจวฝานได้ยินก็พลันตกตะลึง ขมวดคิ้วทันที
เขาถูกหานเจวี๋ยส่งไปที่เมืองฟ้าบุพกาล ก็เพื่อปกป้องคุ้มกันมรรคาสวรรค์ หากทำลายมรรคาสวรรค์ก็เท่ากับต้องเป็นศัตรูกับหานเจวี๋ยมิใช่หรือ
โจวฝานเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องนี้คือบรรทัดฐานของข้า!”
ถึงแม้จะติดค้างบุญคุณของอีกฝ่าย ซ้ำอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่าตนมาก แต่โจวฝานไม่ยอมอ่อนข้อให้เลย
อริยะเจ็ดวิถีเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าที่เจ้าฟื้นคืนชีพจากความตายหลายต่อหลายครั้ง เป็นเพราะแรงกุศลมรรคาสวรรค์หรือ”
“หมายความว่าอย่างไร”
คิ้วของโจวฝานขมวดแน่นกว่าเดิม เขาเองก็สงสัยในเรื่องราวที่ตนเคยประสบมาโดยตลอดเช่นกัน
มีอยู่หลายครั้งที่เขารู้สึกสิ้นหวังแล้วจริงๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
พอฟื้นคืนชีพไปนานเข้า ก็ทำให้เขาหลงลำพอง ต่อให้อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแค่ไหน เขาก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
นิสัยห้าวหาญไม่หวั่นเกรงของเขาในปัจจุบันนี้ก็ได้รับการปลูกฝังมาจากการฟื้นคืนชีพนับครั้งไม่ถ้วนนั่นเอง
เขาถึงขั้นที่นึกไปว่านี่คือพรที่สวรรค์ประทานให้แก่ตน
“ทุกครั้งที่มรรคาสวรรค์ต้องการกำจัดเจ้า เป็นข้าที่ใช้พลังเวทปกป้องเจ้าไว้ เดิมทีแล้วเจ้าถือกำเนิดขึ้นจากความประสงค์ของข้า!” อริยะเจ็ดวิถีเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าน้ำเสียงเน้นหนักยิ่ง ภายในตำหนักมีเสียงฟ้าร้องดังก้องกัมปนาทตามมา
สีหน้าโจวฝานแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับถูกฟ้าผ่าใส่
อริยะเจ็ดวิถีลุกขึ้นมา เอ่ยต่อว่า “โจวฝาน เจ้าคือตัวเบี้ยของข้า ข้าสร้างเจ้าขึ้นมาได้ ข้าช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าก็สามารถกำจัดเจ้าได้ สะกดจองจำเจ้าได้เช่นกัน การทำลายล้างมรรคาสวรรค์เป็นภารกิจที่ติดตัวเจ้ามาแต่กำเนิด ไม่อาจปฏิเสธได้!”
สีหน้าโจวฝานมืดครึ้มลง สองมือกำแน่น เขาเงยหน้ามองอริยะเจ็ดวิถี ถามด้วยแววตาวาวโรจน์ “ตอนนั้นที่ข้ากลายเป็นบ้า ก็เป็นแผนการของท่านเช่นนั้นหรือ”
อริยะเจ็ดวิถีเงียบไป
ความเดือดดาลเป็นฟืนไฟของโจวฝานถูกจุดขึ้นฉับพลัน
เขาเคยเป็นบ้าจนพลั้งมือสังหารโม่ฟู่โฉวสหายรักของตน นั่นคือบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากใจของเขา ไม่กล้าตัดทิ้ง
เมื่อเขาทราบว่าตนเป็นเพียงหุ่นเชิด เขาก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาว่าจะมีเงื่อนงำด้วยหรือไม่
ทุกครั้งที่นึกถึงโม่ฟู่โฉว โจวฝานจะตกสู่วังวนความสำนึกผิดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
โม่ฟู่โฉวคือคนสำคัญที่สุดของเขา เป็นหนึ่งไม่มีสอง
นับตั้งแต่เขากราบเข้าสู่สำนักบำเพ็ญเพียร โม่ฟู่โฉวก็คอยดูแลเขามาตลอด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...