พอได้ยินซูฉีตะโกนประโยคนี้ออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายก็พากันหยุดมือ มอบดูรอบด้านด้วยความประหม่า
ซูฉีมักจะพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ เหล่าผู้บำเพ็ญที่ตามล่าเขาล้วนตายลงอย่างน่าอนาถ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสงสัยมาโดยตลอดว่ามีคนที่คอยอยู่เบื้องหลังของซูฉี
ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ของเขานั่นเอง!
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่ตะโกนด่าทอซูฉีด้วยความโมโหก่อนหน้านี้ตะคอกเสียงดังว่า “สหายเต๋า! เหตุใดต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือว่าจะใจฝ่อเสียแล้ว”
แต่ทว่า
ไม่มีผู้ใดตอบเขา
ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนมองไปทางซูฉีอีกครั้ง
เขาค้นพบว่าซูฉีมีสีหน้าเย้ยหยัน ภาคภูมิใจ ราวกับว่าคนที่ตายจะไม่ใช่ตนเอง แค่กลับเป็นพวกเขา
ความมั่นใจเช่นนี้ของซูฉี ทำให้ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม
เปรี้ยงปราง
เมฆอัสนีรวมตัวกันในฉับพลัน ท้องฟ้ามืดลงในบัดดล
ผู้คนทั้งหลายต่างก็มองซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก
ฟู่ๆ
พายุบ้าระห่ำโหมพัดเข้ามา และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เหล่าผู้บำเพ็ญหวาดกลัวเมื่อพบว่าพายุลูกนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยคมมีดวายุที่ตาเปล่ายากจะแยกแยะได้ แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง บาดจนเสื้อผ้าของพวกเขาถูกตัดขาดจนกระจุยกระจาย ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนต้องกระตุ้นพลังวิญญาณต้านทานไว้
นอกจากซูฉีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนประสบกับมหันตภัยกันหมดสิ้น
ซูฉีเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใสออกมา
สมกับเป็นผู้อาวุโส…
ไม่ใช่สิ!
อาจารย์!
อาจารย์ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!
เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง พายุโหมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาพฉากเช่นนี้ดูราวกับจุดสิ้นสุดของโลก
ยามที่สายฟ้าแรกฟาดลงมานั้น ทั้งเจ็ดสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝันร้ายได้มาถึงแล้ว
สิ่งที่มามันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา
แต่กลับเป็นสายฟ้าสวรรค์!
……
หนึ่งขวบปีฤดูกาลผ่านพ้น สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว เวลาหนึ่งปีก็ยาวนานมาก
เวลาสิบแปดเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเติบโต แต่สำหรับหานเจวี๋ย เวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับฝันหนึ่งตื่น
ตบะของเขาบรรลุระดับสุญตาขั้นห้าแล้ว!
การทะลวงระดับของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก จำต้องรู้ว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังติดอยู่ที่ระดับสุญตาขั้นแปด เซียวเอ้อร์ยังอยู่ระดับสุญตาขั้นสอง
เวลาที่ว่างจากการฝึกฝน หานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดวิชากระบี่บินไร้หัวใจให้กับสวินฉางอัน
หลังจากฝึกฝนกระบี่บินไร้หัวใจมาสิบปี สวินฉางอันต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตนเองดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องรักข้างเดียวในอดีตอีก
หารู้ไม่ว่าความรู้สึกของเขาได้ลดระดับลงแล้ว
หลังจากบรรลุระดับ หานเจวี๋ยก็คุ้นชินกับการนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งเซียวเอ้อร์
ในจดหมายสามารถเห็นได้เพียงสถานความสัมพันธ์ในทางที่ดีเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ของศัตรูหานเจวี๋ยไม่อาจมองเห็นได้ แต่ทว่ารูปของเซียวเอ้อร์ยังคงอยู่มาโดยตลอด เป็นการประจักษ์ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังคงมีชีวิตอยู่ดี
ก่อนที่เซียวเอ้อร์จะเสียชีวิต หานเจวี๋ยจะไม่เลิกสาปแช่งเขาอย่างแน่นอน
ใครใช้ให้เจ้านี่มีความอาฆาตแค้นเขาสูงเช่นนี้เล่า ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้กลับไม่มีทีท่าลดลงแม้แต่น้อย
ขณะที่หานเจวี๋ยทำการสาปแช่งอยู่นั้น เขาก็ตรวจสอบดูจดหมายในค่าความสัมพันธ์ไปด้วย
คนส่วนใหญ่ล้วนเผชิญกับการโจมตีในช่วงสิบแปดปีมานี้
หากจะบอกว่าเป็นการโจมตี ไม่สู้พูดว่าเป็นการต่อสู้กันจะดีกว่า
เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถูกโจมตี คาดว่าคงมีหลายครั้งที่พวกเขาชิงลงมือก่อน
ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย จำต้องหลบหนีให้ไกล
บางทีระดับตบะของหานเจวี๋ยในตอนนี้อาจจะไม่กลัวการถูกโจมตี แต่หากมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนได้
ก็เหมือนกับหยางเทียนตงและโจวฝาน ที่มักจะครอบครองสถิติจำนวนครั้งในการถูกโจมตีเป็นสามอันดับแรกตลอด
ส่วนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมาทีหลังแต่กลับแซงหน้าไปก่อน และมีแนวโน้มที่จะกระโดดข้ามไปเหนือกว่าด้วย
ทุกครั้งที่เห็นสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นถูกโจมตี หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก
ใครใช้ให้เจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า!
แม้ว่าสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจะถูกตีอยู่ตลอด แต่ตบะของมันกลับทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ของคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าล้วนกำลังช่วงชิงโอกาสกันอยู่
หลายวันต่อมา
สิงหงเสวียนมาเยี่ยมเยียน
หานเจวี๋ยไล่สวินฉางอันออกไป และให้สิงหงเสวียนเข้ามา
“สามี หลายสิบปีมานี้ข้าได้โอกาสวาสนาครั้งใหญ่ เข้าใจพลังเทพ ท่านอยากเรียนหรือไม่ ข้าสามารถถ่ายทอดให้ท่านได้!”
สิงหงเสวียนวิ่งเข้ามาตรงหน้าหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนกล่าวขึ้น ท่าทางราวกับจะมอบของที่ล้ำค่าให้เขา
หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ข้ามีพลังเทพ ไม่ต้องการ”
สิงหงเสวียนได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่จริงๆ ตบะของนางบรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นแปดแล้ว
เกือบจะตามผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอย่างโจวฝานทันแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...