บทที่ 769 ระดับความประทับใจไม่ขาดสาย – ตอนที่ต้องอ่านของ ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
ตอนนี้ของ ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 769 ระดับความประทับใจไม่ขาดสาย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 769 ระดับความประทับใจไม่ขาดสาย
ในสายตาของหานเจวี๋ยว่าที่อริยะในอนาคตไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย
ด้วยแนวโน้มพัฒนาการของมรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้ ในอนาคตอริยะมรรคาสวรรค์จะไม่ถูกจำกัดไว้ในปริมาณน้อยนิดแน่นอน
หานเจวี๋ยเดินหน้าต่อไป ในไม่ช้าก็ออกจากป่าเขาแห่งนี้
ภายในป่า
เด็กคนนั้นพลิกตัวไถลลงมาจากหลังหมาป่า เขาหันมองไป ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกวูบโหวงสูญเสีย ราวกับพลาดอะไรไปอย่างน่าประหลาด
เขาอายุยังน้อยจึงไม่เข้าอารมณ์เช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็โยนออกจากหัวไปแล้ว เขาถูกกระต่ายป่าตัวหนึ่งในป่าดึงดูดความสนใจไป
….
สิบกว่าปีต่อมา
หานเจวี๋ยมาถึงละแวกสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ เขายืนบนหน้าผา ยืนรับลม ท่วงท่างามสง่า
เมื่อทอดสายตามองไป บนเนินเขาที่เชื่อมต่อเรียงรายสูงบ้างต่ำบ้างที่อยู่ด้านหน้า มีอาคารงดงามตั้งอยู่นับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญหญิงหลายต่อหลายคนฝึกบำเพ็ญอยู่ตามสถานที่ต่างๆ บางคนนั่งสมาธิอยู่ในป่า บางคนประลองเวทอยู่บนฟ้า แต่ละคนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายความเป็นเซียน ราวกับนางเซียนบนสวรรค์
“ยังคงมีพัฒนาการไม่เลวเลย”
หานเจวี๋ยรำพึง ถึงแม้ลี่เหยา อู้เต้าเจี้ยนและถูหลิงเอ๋อร์จะถอนตัวออกมาแล้ว แต่สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ในการดูแลของศิษย์พวกนาง ยังคงเป็นสำนักสาขาของสำนักซ่อนเร้น
ในเวลานี้เอง ศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งขี่เมฆผ่านทางมา สตรีชุดเหลืองนางหนึ่งถลึงตาใส่หานเจวี๋ย ตวาดเสียงแหลม “เขตสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ ห้ามบุรุษเข้าใกล้!”
ศิษย์หญิงที่เหลือต่างจ้องเขม็งมาทางหานเจวี๋ย ล้วนถูกรูปโฉมอันหล่อเหลาของหานเจวี๋ยดึงดูด
พวกนางเก็บตัวอยู่ในสำนักมาโดยตลอด พบเห็นบุรุษน้อยยิ่ง ต่อให้เคยออกไปหาประสบการณ์ด้านนอก ก็ยังไม่เคยพบเจอบุรุษรูปงามเช่นหานเจวี๋ยมาก่อน พลันมีศิษย์หญิงไม่น้อยที่ต้องตาหานเจวี๋ยตั้งแต่แรกพบ
หานเจวี๋ยยิ้มแวบหนึ่ง หันหลังจากไป
“ช้าก่อน ท่านโปรดแจ้งฉายาทางธรรมทิ้งไว้ได้หรือไม่ หากต้องการมาเชิญผู้อาวุโสในสำนัก พวกเราจะได้ไปรายงานให้ก่อน” สตรีชุดขาวนางหนึ่งเอ่ยถาม นางหน้าตาสะสวย หว่างคิ้วเจือความองอาจ รูปโฉมของนางนับว่าอยู่ในลำดับต้นๆ ในหมู่ศิษย์หญิงกลุ่มนี้
หานเจวี๋ยโบกมือ เอ่ยทิ้งท้ายประโยคเดียว “เพียงผ่านทางมา”
เขาไม่สนใจนางเซียนกลุ่มนี้เลย
ความสำราญระหว่างชายหญิงไม่อาจสั่นคลอนความคิดหานเจวี๋ยได้ ในสายตาเขา โฉมงามเลิศหล้าและสตรีธรรมดาหาได้ต่างกันไม่
หลังจากหานเจวี๋ยไปแล้ว ศิษย์หญิงกลุ่มนี้อดพูดคุยวิจารณ์ไม่ได้
“ล้วนต้องโทษศิษย์น้องหลี่ ไล่คนเขาไปทำไมกัน!”
“หล่อเหลาเหลือเกิน ทำอย่างไรดี ดูเหมือนข้าจะชอบเขาเข้าเสียแล้ว”
“มองจากการแต่งกายของเขา คาดว่าคงไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมดา อย่าหาเรื่องเดือดร้อนเลย”
“สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราก็ไม่ใช่สำนักดาษดื่นเช่นกัน พอพวกเราบอก เขาก็หยุด แปลว่าคนผู้นี้ไม่นับว่าเป็นคนหยาบกระด้างไร้มารยาท เฮ้อ แต่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยวเหลือเกิน”
“ใช่แล้ว ผู้บำเพ็ญชายที่เคยผ่านสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ ล้วนพูดจากะล่อน น้อยนักที่จะมีบุรุษพบพวกเราแล้วสุขุมได้เช่นนี้”
สตรีชุดขาวฟังเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงพูดคุยกัน ก็อดมองตามเงาหลังของหานเจวี๋ยไปไม่ได้
หานเจวี๋ยทำให้นางใจเต้นได้อย่างน่าประหลาด นางไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าจะเป็นบุตรแห่งสวรรค์จากสำนักดวงชะตาใหญ่โตเหล่านั้นก็ยังเทียบไม่ติด
เขาเป็นใครกันแน่
….
แจ้งเตือนความประทับใจเด้งขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ยไม่ขาดสาย เขามองเมินทั้งหมด
หลายปีมานี้ สตรีส่วนใหญ่ที่บังเอิญพบล้วนเกิดความประทับใจต่อเขาอย่างง่ายดาย ถึงขั้นที่มีบุรุษต้องใจเขาแต่แรกเห็นด้วย
สำหรับหานเจวี๋ยแล้ว ล้วนเพียงพบเพื่อผ่านเท่านั้น ไม่มีทางมอบโอกาสวาสนาให้คนอื่นเพียงเพราะคนอื่นรู้สึกประทับใจในตัวเขา
เขารู้แก่ใจดี
คนอื่นมิใช่ชอบที่เขาเป็นเขา แต่ชอบใบหน้านี้ของเขา
ขอเพียงมรรคาสวรรค์ยังอยู่ดี การเสียสละจะนับเป็นอันใดเล่า
ผานซินชี้แจงรายละเอียดบางอย่าง สี่อริยะรับฟังอย่างตั้งใจ
อีกด้านหนึ่ง
ในตำหนักเอกภพ
ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย เทพสูงสุดหนานจี๋ ฉิวซีไหล ฟางเหลียงและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าก็หารือกันอยู่ที่นี่
“เรื่องภาคีร้อยดินแดนมิใช่เรื่องเล็กๆ แตกต่างจากงานเลี้ยงที่ผ่านมา ครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง เมื่อถึงเวลานั้นนักพรตเต๋าเสินเผาก็จะเข้าร่วมด้วย ไม่ทราบเช่นกันว่านักพรตเต๋าเสินเผาจะพุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์หรือไม่” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างใช้ความคิด
นับตั้งแต่แดนเทพหวนปัจฉิมแตกพ่าย ดวงจิตมหามรรคดับสูญ ฟ้าบุพกาลปั่นป่วน ผู้ทรงพลังออกมาบุกเบิกสร้างโลกามากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังมีดินแดนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดที่ทยอยปรากฏตัวขึ้น มิใช่แค่มรรคาสวรรค์เท่านั้นที่รุ่งเรือง ฟ้าบุพกาลก็เป็นเช่นเดียวกัน
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยว่า “นักพรตเต๋าเสินเผาน่าจะไม่พุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์แล้ว อาจจะเปลี่ยนมาสนับสนุนมรรคาสวรรค์เสียด้วยซ้ำ”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ฟางเหลียงและฉิวซีไหลต่างพยักหน้าเห็นด้วย
เทพสูงสุดหนานจี๋จ้องมองทั้งสี่ เปลือกตากระตุกเล็กน้อย
จอมอริยะเสวียนตูคล้ายจะนึกอะไรได้ แววตาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราห้าคนก็ไปเถอะ อริยะที่เหลือให้ประจำการอยู่ในมรรคาสวรรค์”
เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยถาม “ไม่นำเรื่องนี้ไปหารือกันในหมู่อริยะหรือ”
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ไม่จำเป็น มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากต้องหารือกันไปเสียทุกเรื่อง ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นข้อเสีย ให้อริยะทุกรายสามารถรับผิดชอบกันเองได้ในแต่ละด้านจะดีที่สุด”
เทพสูงสุดหนานจี๋มองเขาอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ก่นด่าอยู่ในใจ ในที่สุดจิ้งจอกเฒ่าก็กำลังจะกระชากหน้ากากผู้ใจบุญออก เริ่มแย่งชิงอำนาจแล้ว
หลายแสนปีที่ผ่านมานี้ จอมอริยะเสวียนตูท่าทางเหมือนไร้ข้อเรียกร้อง ไร้ความปรารถนา แต่กลับค่อยๆ รวบอำนาจไว้ ตอนนี้คิดจะยื้อแย่งอันใดขึ้นมา อริยะคนอื่นๆ กลับไม่กล้าปฏิเสธ
“เรื่องนี้ตกลงกันตามนี้ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปคัดเลือกบุตรแห่งสวรรค์มาสักกลุ่ม ยิ่งคุณสมบัติเลิศล้ำเท่าไรก็ยิ่งดี จะได้แสดงความแข็งแกร่งของมรรคาสวรรค์ต่อดินแดนอื่นๆ ด้วย” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยกำชับ น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจ
หลังจากได้รับคำยืนยันจากเทพสูงสุดอู๋ฝ่า ตอนนี้จอมอริยะเสวียนตูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมแล้ว
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...