บทที่ 770 บ่วงกรรมและความทรงจำ
แดนเซียน ณ ทะเลไร้ขอบเขต
หานเจวี๋ยยืนอยู่บนหาดทราย ระลอกคลื่นซัดสาดเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับผกาขาวพวงแล้วพวงเล่า มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของทั้งสองฝั่งเลย
ท้องนภาของที่นี่เป็นสีครามและแคบสั้นยิ่งนัก
ลมทะเลที่เจือละอองเกลือพัดโชยเข้ามา เส้นผมยาวของหานเจวี๋ยปลิวไสวนิดๆ เขาหรี่ตาลง ช่างสดชื่นผ่อนคลายจริงๆ
ท่องอยู่ในแดนเซียนมาหลายสิบปี เขาไปเยือนสำนักบำเพ็ญ ไปเยือนเมืองของมนุษย์ธรรมดา ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของวัดวาราชวัง และได้เห็นชีวิตสงบสุขของชาวบ้านในถิ่นชนบท
แต่เขาก็พบเห็นเรื่องชั่วร้ายมาไม่น้อยเช่นกัน แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว รูปการณ์ของมรรคาสวรรค์นับว่าอยู่ในความสงบสุข
ไหนเลยจะมีโลกที่สงบสุขอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องชั่วร้ายที่พบเห็น หานเจวี๋ยไม่ได้สอดมือเข้ายุ่ง เนื่องจากเขามองเห็นว่ายามที่คนชั่วพวกนั้นก่อกรรมทำเข็ญ ชะตาชีวิตของพวกเขากำลังก้าวสู่การดับสลายท่ามกลางความมืดมิดเช่นกัน
วันนี้เขาเข่นฆ่าข่มเหงผู้อื่นหนึ่งวัน อาจจะรู้สึกรื่นเริงมีสุข แต่หานเจวี๋ยมองเห็นอนาคตอันน่าสังเวชของเขา ถึงขั้นที่ชาติหน้าจะเกิดมาทุกข์ยากด้วยซ้ำ
นี่ก็คือหลักการของผู้ทรงพลัง นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้ทรงพลังเปี่ยมเมตตาเหล่านั้นถึงไม่ช่วยเหลือขจัดทุกข์ภัย เนื่องจากพวกเขามองการณ์ไกล
วันนี้ช่วยไว้ได้หนึ่งคน คนผู้นี้รอดพ้นเคราะห์ครานี้ไปได้ วันข้างหน้าก็อาจจะมีเคราะห์ที่หนักหนากว่ารออยู่
แน่นอน หลักการนี้ก็แตกต่างกันไป
หากว่าระดับชั้นไม่ต่างกันมาก มีใจเมตตาและมีคุณธรรม ก็สมควรลงมือสักหน่อย สั่งสมผลกุศลให้ตัวเอง ยกระดับไปอย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อช่วยเหลือคนให้มากขึ้น
มิใช่ว่าหานเจวี๋ยไร้เมตตา แต่เขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของฟ้าดินไปแล้ว หากสอดมือเข้ายุ่งจะเป็นการทำลายกฎเกณฑ์
มนุษย์ธรรมดาก็ไม่มีทางยอมออกหน้าขัดแย้งกันเพื่อมดปลวกตัวเล็กๆ ในใต้ถุนบ้านเช่นกัน
“ได้ออกมาเดินเล่นบ้างก็ไม่เลวเลยจริงๆ”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม
ที่มรรคาสวรรค์มีวันนี้ได้ เขารู้สึกว่าตนมีความดีความชอบเป็นลำดับต้นๆ
เขาอาจจะไม่ได้สร้างมรรคาสวรรค์ขึ้น แต่ทิศทางการพัฒนาของมรรคาสวรรค์ จอมอริยะเสวียนตูล้วนต้องถามความเห็นเขาเสมอ
หากไม่มีเขา ไม่รู้ว่ามรรคาสวรรค์จะถูกถล่มไปกี่รอบแล้ว
หานเจวี๋ยเดินเลียบชายทะเลไป เดินอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
วิหคบินโฉบผ่านนภาฝูงแล้วฝูงเล่า
ตูม!
ผิวทะเลพลันระเบิดกระจาย มองเห็นมัจฉาสีดำที่ใหญ่โตดุจภูเขาตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมา บดฟ้าบังตะวัน เงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดศีรษะของมัน เป็นบุรุษคนหนึ่งที่สวมชุดสีฟ้า มือถือกระบี่เล่มหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ เจ้าปีศาจ คิดจะกินข้าหรือ เจ้ายังห่างชั้นนัก!”
บุรุษชุดฟ้าหัวเราะอย่างสดใสเปี่ยมกำลังวังชา หมุนตัวตวัดกระบี่ ปราณกระบี่พุ่งออกไปในแนวขวาง หัวของมัจฉาสีดำถูกหั่นแบะออกเป็นสองท่อน ไม่ได้หลุดแยกจากตัว มีเสียงคำรามดั่งสิงโตแว่วดังขึ้น
มัจฉาสีดำร่วงลงสู่ทะเล ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงหลายร้อยจั้ง
ยามที่น้ำทะเลกำลังจะสาดลงบนร่างหานเจวี๋ย ก็พลันเหือดระเหยไปทันที
หานเจวี๋ยเหลือบมองแวบหนึ่ง สะท้อนใจกับตัวเอง ‘อันตรายน่าอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ ข้ายังไม่เคยประสบเลย น่าอิจฉาจริงๆ’
บุรุษชุดฟ้าย่อตัวกระโจนออกมา ร่อนลงตรงหน้าหานเจวี๋ย เก็บกระบี่เข้าฝัก
เขาปัดเสื้อผ้าอย่างงามสง่า เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายทักษะดีจริงๆ ข้าจับสัมผัสถึงกลิ่นอายของเจ้าไม่ได้เลย”
หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ในเมื่อจับสัมผัสไม่ได้ เจ้ายังกล้ามาขวางทางอีกหรือ”
บุรุษชุดฟ้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่องไปทั่วหล้า เพียงหวังคบค้าสร้างสหาย ข้าพเจ้ากู้เหิง ไม่ทราบว่าพี่ชายมีนามว่าอะไร”
หานเจวี๋ยยิ้มบางๆ ก่อนตอบไปว่า “นามของข้าไม่อาจให้เจ้าทราบได้ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้รับบ่วงกรรมใหญ่หลวง”
กู้เหิงตกตะลึงไป
ช่างวางท่าเหลือเกิน!
เขาคิดมาตลอดว่าตนวางท่ามากแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนที่วางท่ามากกว่า
กู้เหิงกล่าวยิ้มๆ “โอ้ เช่นนั้นหรือ พี่ชายให้ข้าลองดูเถอะ ดูว่าจะสามารถแบกรับบ่วงกรรมใหญ่หลวงได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยพลันยกมือกดไหล่เขา
เร็วเหลือเกิน!
ม่านตากู้เหิงเบิกขยาย ตื่นตระหนกอยู่ในใจ
เขาสบตากับหานเจวี๋ย แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวเข้าครอบคลุมหัวใจเขา เขาตกใจจนทรุดลงคุกเข่าเบื้องหน้าหานเจวี๋ย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...