บทที่ 810 การจับตามองของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล
“ส่วนพวกที่ส่งร่างแยกมา รีบส่งร่างจริงมาทันที ร่วมต่อสู้ทำลายล้างผานกู่ไปด้วยกัน ให้ผานกู่ได้รู้ว่ายุคสมัยของเขาผ่านไปแล้ว!”
เทพมารปฐมภพกวาดตามองเหล่าเทพมาร เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังต่อว่าเขาอยู่
ในตำหนักหลังนี้ มีเทพมารเพียงไม่กี่คนที่ส่งร่างแยกมา ที่เหลือเป็นตัวจริงทั้งสิ้น พวกเขาก็กลัวเช่นกันว่าหากทิ้งร่างจริงไว้ที่บ้านแล้วจะถูกผานกู่จัดการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าเทพมารภายใต้การนำทัพของเทพมารปฐมภพ ต่างพากันเหาะออกจากตำหนัก
หานเจวี๋ยก็ตามน้ำไปด้วย ปะปนไปตามฝูงชน คิดจะไปทดสอบพลังของผานกู่ดู
….
หมื่นปีต่อมา
หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารอัสนีบาตออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับตัวไป
มีเพื่อนร่วมกลุ่มเทพมารมาเพิ่ม มู่หรงฉี่ดีใจอย่างยิ่ง
หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว หานเจวี๋ยสอดส่องไปทั่วอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
“หลายปีมานี้ เหล่าเทพมารล้วนร้อนรนยิ่ง ล้วนสัมผัสได้ถึงการคุกคามจากผานกู่” ลี่เหยาเอ่ยเสียงเบา
นางก็สัมผัสได้เช่นกัน มิใช่เพียงเท่านี้ นามของผานกู่แผ่ซ่านไปทั่วเส้นเลือด แทรกซึมเข้าไปในหัวนาง ทำให้นางทราบถึงสาเหตุที่มา
หานเจวี๋ยถาม “ปลอบให้สงบลงได้หรือไม่”
ลี่เหยาพยักหน้ารับ ตอบว่า “ต้องขอบคุณมู่หรงฉี่ ต้องกล่าวเลยว่า ศิษย์หลานของท่านคนนี้มีความสามารถมากจริงๆ”
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา ไร้สาระ คนที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดก็คือมู่หรงฉี่!
อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถาม “นายท่าน ผานกู่จะมาหาพวกเราที่นี่หรือไม่”
หานเจวี๋ยตอบว่า “มา แต่เขาไม่มีทางเข้ามาได้”
เห็นได้ชัดว่าผานกู่มีความสามารถในการแกะรอยเหล่าเทพมาร แม้ว่าจะสอดส่องไม่พบอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง แต่สามารถจับทิศทางได้ นี่คือเสียงเพรียกหาระหว่างเทพมารด้วยกัน
อู้เต้าเจี้ยนรู้สึกสงสัยนัก นางสนใจใคร่รู้ในค่ายกลอาณาเขตเต๋ามานานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าถามมาก
ลี่เหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเจ้าสำนักคอยค้ำไว้ ผานกู่มิใช่ศัตรูของพวกเรา ศัตรูของพวกเราอยู่ในอนาคต”
เทพมารส่วนใหญ่ล้วนบรรลุระดับอริยะแล้ว แต่ยังไม่ถึงระดับเสรี
“ถูกต้อง อย่างน้อยๆ พวกเจ้าก็ต้องบรรลุถึงระดับอริยะมหามรรคก่อน ถึงจะเป็นกำลังให้ข้าได้” หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ น่าเสียดายที่เขาไม่มีหนวดเครา ไม่เช่นนั้นลูบเคราพลางยิ้มไปด้วยคงดูมีมาดยิ่งนัก
แน่นอน เขาก็สามารถทำให้เคราของตนงอกยาวออกมาได้
หานเจวี๋ยพูดคุยกับสองสาวสักพักหนึ่ง แล้วกลับสู่อาณาเขตเต๋าหลัก
เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู
[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสหายของท่านจมจ่อมสู่มรรคกระบี่ ทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมรรคกระบี่]
[หานทั่วบุตรชายของท่านบรรลุถึงระดับเบิกฟ้าเสรี พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[อี๋เทียนสหายของท่านบรรลุถึงระดับเบิกฟ้าเสรี พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเข้าสู่ซากร่างของเทพมารฟ้าบุพกาล]
[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่าน…]
….
[นักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[อริยะเจ็ดวิถีศัตรูคู่อาฆาตของท่านฟื้นคืนชีพสำเร็จ]
[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสหายของท่านผสานมหามรรคประจำตัวเข้ากับมรรคกระบี่ ก้าวเข้าสู่ระดับยอดมหามรรคได้สำเร็จ]
….
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสำเร็จเป็นยอดมหามรรคแล้ว!
นี่นับเป็นการทุบทิ้งเพื่อสร้างใหม่กระมัง
หานเจวี๋ยอดสะท้อนใจไม่ได้ คนผู้นี้เก่งกาจจริงๆ
หานทั่วและอี๋เทียนก็นับว่าเป็นผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่ พิสูจน์เสรีได้เร็วขนาดนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าศิษย์ของเขาเสียอีก
ไม่แปลกที่ผู้บำเพ็ญเพียรแปดเก้าในสิบส่วนล้วนไม่สนความเป็นความตายเพื่อไขว่คว้าโชควาสนา
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าอริยะเจ็ดวิถีฟื้นคืนชีพ
อริยะเจ็ดวิถีไม่อยู่ในสายตาเขาแล้ว หากว่าอริยะเจ็ดวิถีรู้จักประมาณตน เขาจะไม่สนใจอีกฝ่ายชั่วคราว
หากว่ากล้าก่อเรื่องวุ่นวาย เช่นนั้นก็สังหารในเสี้ยววินาทีตรงๆ ซะ
เหตุผลที่ไม่สังหารอริยะเจ็ดวิถี เพราะหานเจวี๋ยคิดจะรอให้อริยะเจ็ดวิถีเป็นฝ่ายมาหาเอง จากนั้นค่อยโยนเข้าคุกสวรรค์อนธการ ขยายฐานกำลังของตนให้ใหญ่ขึ้น
อริยะมหามรรคต่างไปจากอริยะ ยากจะบ่มเพาะขึ้นมาได้
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ
การปรากฏตัวของผานกู่ทำให้แวดวงสหายของเขาล้วนสงบเสงี่ยมลง เผชิญกับการต่อสู้โจมตีน้อยลงยิ่งนัก
ต้องกล่าวเลยว่า ผานกู่ร้ายกาจจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่ทรงอิทธิพลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...