บทที่ 813 ติดตามทุกชาติภพ
ในป่าบนภูเขา มีหมู่บ้านจำนวนหลายสิบครัวเรือนตั้งอยู่ที่นี่ บุรุษทำนาสตรีทอผ้า มีไก่และสุนัขกระจายอยู่ทั่วไป ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง เสมือนแยกตัวจากโลกภายนอก
ภายในป่า หลังโขดหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งเด็กน้อยวัยสามขวบคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ
เครื่องหน้าของเขางดงาม ใบหน้าน้อยๆ แดงเรื่อ แฝงความละมุนเหมือนเด็กผู้หญิง
เขาก็คือเจียงเจวี๋ยซื่อ
เขาลอบพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา ไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเข้าไปจริงๆ จึงยังมีความทรงจำอยู่ ดังนั้นเมื่อถือกำเนิดขึ้นก็เริ่มฝึกบำเพ็ญทันที เพียงแต่เขาปกปิดไว้ดียิ่ง ไม่มีผู้ใดพบเห็น
ในเวลานี้เอง เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้า
เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้นทันที ร่างกายแข็งแกร็ง แนบหลังพิงโขดหิน ขอบตาแดงเรื่อทันที ราวกับเพิ่งร้องไห้มา
เงาร่างหนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าเขา
เป็นนักพรตเต๋าชราคนหนึ่ง เป็นร่างแยกของหานเจวี๋ยนั่นเอง หลังของเขาโก่งงุ้ม แต่หว่างคิ้วยังเจือเค้าเสน่ห์ของหานเจวี๋ยตัวจริงไว้หลายส่วน
หานเจวี๋ยแสร้งแปลกใจ พึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อว่าบนโลกจะมีรากฐานเช่นนี้อยู่ด้วย!”
เขาอุ้มเจียงเจวี๋ยซื่อขึ้นมา จากนั้นเดินมุ่งไปที่หมู่บ้านบนเขา
น้ำลายไหลย้อยออกมาจากปากเจียงเจวี๋ยซื่อ สองมือปัดป่ายไปเรื่อย ดูน่ารักไร้เดียงสา
ทว่าในใจเขากลับเต็มไปด้วยความจนปัญญา
เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญที่อยากรับเขาเป็นศิษย์เข้าอีกแล้ว เขาผ่านประสบการณ์มาหลายภพหลายชาติ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ลนลาน วันหน้าค่อยๆ หาทางรับมือไป
หานเจวี๋ยมาพบพ่อแม่ของเจียงเจวี๋ยซื่อ แสดงตัวว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญ อยากรับเจียงเจวี๋ยซื่อเป็นศิษย์ จะอบรมสั่งสอนอยู่ในหมู่บ้าน บิดามารดาของเขาก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบบ้าแล้ว พากันคุกเข่าแสดงความตื้นตันต่อหานเจวี๋ย
เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาไปทั่วหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านพากันมาชมเรื่องครื้นเครง
วันเวลาผ่านไป หานเจวี๋ยกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ อบรมสั่งสอนเจียงเจวี๋ยซื่อให้ฝึกบำเพ็ญ สิ่งที่สอนคือวิชายุทธ์ทั่วไปซึ่งเจียงเจวี๋ยซื่อก็ยอมรับไว้ และฝึกบำเพ็ญไปตามวิชายุทธ์ที่เขาสอนให้
ยี่สิบปีต่อมา เจียงเจวี๋ยซื่อที่เติบใหญ่แล้วก็กล่าวอำลา เตรียมจะออกไปเผชิญโลกภายนอก ผลคือหานเจวี๋ยจะติดตามไปด้วยจนได้ ทำให้เขารู้สึกจนใจนัก
สองศิษย์อาจารย์เริ่มท่องโลกไปด้วยกัน
….
สามพันปีต่อมา
หานเจวี๋ยผมขาวโพลนแล้ว เขาและเจียงเจวี๋ยซื่อพำนักอยู่ในอารามเต๋าเรียบง่ายหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
เมื่อเทียบกับสามพันปีก่อน หานเจวี๋ยชราลงมาก ลมหายใจแผ่วหวิว แทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
เจียงเจวี๋ยซื่อนั่งสมาธิอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย เขาลืมตาขึ้น เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ ข้าถึงขีดจำกัดแล้ว”
หานเจวี๋ยไม่มีปฏิกิริยา เจียงเจวี๋ยซื่อจึงจำเป็นต้องทวนอีกรอบ
“หือ ขีดจำกัด…คุณสมบัติของเจ้าสูงส่งปานนี้ สำเร็จเป็นเซียนได้เร็ว…ไฉนยังมีขีดจำกัดอีกเล่า” หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความสั่นสะท้าน พูดจบก็ไอโขลกๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
เจียงเจวี๋ยซื่อตอบว่า “ศิษย์ก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ อาจจะเป็นชะตาลิขิต สวรรค์ประทานพรสวรรค์ให้ข้า ทว่าก็ริบอายุขัยของข้าไป”
หานเจวี๋ยไม่พูดอะไรอีก
เจียงเจวี๋ยซื่อเหลือบมองเขา ในใจรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
อยู่ร่วมกันมาสามพันปี ต่อให้เป็นก้อนหินก็ยังถูกสั่นคลอนได้เช่นกัน
ชาตินี้ คนที่เขาติดค้างมากที่สุดก็คืออาจารย์ของตน
เขาไม่ได้บอกอาจารย์ของตนว่าตนพิสูจน์ระดับเทพแล้ว เตรียมจะมรณะไปในท่าสมาธิ
ก่อนจะมรณะไปในท่าสมาธิจู่ๆ เขาก็รู้สึกหักใจไม่ลงอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าหลังจากตนดับสูญไปแล้ว อาจารย์จะเป็นอย่างไร
อาจารย์มีตบะระดับเปลี่ยนวิญญาณเท่านั้น คาดว่าคงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน
เจียงเจวี๋ยซื่อได้แต่รู้สึกผิดอยู่ในใจเงียบๆ ดีร้ายอย่างไรเขาก็ใช้ชีวิตมากว่าแสนชาติแล้ว มรรคจิตมั่นคงดั่งหินผา
‘ไว้พบกันใหม่ชาติหน้า ไม่สิ ไม่มีชาติหน้าแล้ว’
ในใจเจียงเจวี๋ยซื่อคิดเช่นนี้ เขาพลัดพรากจากญาติสนิทมิตรสหายและลูกเมียมานับครั้งไม่ถ้วน พอกลับชาติมาเกิด ก็ยากจะได้พบกันอีก
กลับชาติมาเกิดหลายร้อยชาติ อาจจะมีโอกาสได้พบกันสักครั้ง แต่เขาล้วนไม่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายแล้ว
บ่วงกรรมที่ตัดขาดไปแล้วไม่สมควรเชื่อมประสานอีก
หลายสิบปีต่อมา
เจียงเจวี๋ยซื่อกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง เกิดในโลกมนุษย์อีกใบหนึ่ง
ชาตินี้ เขาถือกำเนิดในตระกูลมั่งคั่ง
เมื่ออายุได้สามขวบ ในวันที่หิมะตกหนัก โลกอันกว้างใหญ่ มีหิมะปกคลุมไปทั่วเมืองแห่งนี้
เจียงเจวี๋ยซื่อกำลังฝึกบำเพ็ญเงียบๆ อยู่ในเรือน ทันใดนั้นพลันได้ยินเรื่องนอกบ้านจากพวกบ่าวไพร่ที่เดินผ่านมาพลางพูดคุยกัน
“ขอทานเฒ่าคนนั้นตายหรือยัง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...