ไอสังหารที่น่ากลัวแผ่ปกคลุมในตำหนัก ทำให้อุณหภูมิด้านในราวกับอยู่ในห้องเย็นใต้ดิน
หานเจวี๋ยเคลื่อนตัวเข้าไปในตำหนักทันที
เขาเดินมาตรงหน้าไข่ไอมารสีดำ ครั้นปล่อยจิตเข้าไปในนั้น ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของโม่จู๋
ไอมารกลุ่มนี้มีแรงต้านมหาศาลมาก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสุญตาก็ไม่แน่ว่าจะทะลวงไอมารเข้าไปได้
หานเจวี๋ยออกแรงเล็กน้อย พลังจิตพุ่งผ่านไอมารเข้าไปในไข่ไอมารสีดำ
เขารู้สึกกระดากอายทันที เพราะโม่จู๋ที่อยู่ภายในไข่มีสภาพเปลือยเปล่า ผิวขาวราวหิมะทำให้ตาพร่า
พอหานเจวี๋ยโบกมือขวา พลังวิญญาณหกสายก็แผ่พุ่งออกมาปิดผนึกตำหนักหลังนี้ไว้
เขาเอามือลูบคางพลางคิดอย่างเงียบๆ ‘นี่นางเป็นอะไรไป’
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าในร่างของโม่จู๋ไม่มีดวงวิญญาณอื่นอีก หรือพูดได้อีกแบบคือนางไม่ได้ถูกยึดร่าง
เพียงแค่วิญญาณของนางกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจนดูไม่เหมือนคน
‘ตระกูลโม่มีภูมิหลังที่มาอย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านั้นโม่ฟู่โฉวก็ถลำเข้าสู่สายมาร…’ หานเจวี๋ยลูบคางครุ่นคิด
โม่ฟู่โฉวก็ไม่ธรรมดา ตบะไม่ได้ตามหลังโจวฝานมากนัก โจวฝานเพิ่งทะลวงถึงระดับปราณก่อกำเนิดไม่นาน เจ้าหมอนี่ก็บรรลุระดับปราณก่อกำเนิดเช่นกัน
หานเจวี๋ยไม่กล้าขัดจังหวะโม่จู๋โดยง่าย เพราะเกรงว่านางจะถูกพลังโจมตีกลับ
ความเคลื่อนไหวในตำหนักแห่งนี้ดึงดูดให้นักพรตเต๋าจิ้งซวีมาเยือน นางคิดจะเข้าไปในตำหนัก แต่ถูกพลังหกสายของหานเจวี๋ยต้านไว้
‘ไม่เป็นไร มีข้าอยู่’
เสียงของหานเจวี๋ยถูกถ่ายทอดส่งไป เมื่อนักพรตเต๋าจิ้งซวีได้ยินก็วางใจลง เนื่องจากหานเจวี๋ยเคยกำชับเอาไว้ ท่าทีที่หลี่ชิงจื่อมีต่อโม่จู๋ก็ระมัดระวังมาก ปกติจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักหลังนี้ และให้นักพรตเต๋าจิ้งซวีมีอำนาจดูแลทั้งหมด
หลังจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีจากไปแล้ว หานเจวี๋ยรอคอยต่อไป
หลายวันต่อมา
ในที่สุดไข่ไอมารสีดำก็เริ่มสลายตัว ตอนที่ร่างของโม่จู๋ร่วงลงพื้น หานเจวี๋ยรีบหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้นางทันที
หานเจวี๋ยเผยสีหน้าแปลกประหลาด ไม่นึกว่าตบะของโม่จู๋จะบรรลุถึงระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือแม่นางคนนี้ไม่ต้องฝ่าด่านเคราะห์!
ไร้เหตุผลสิ้นดี!
โม่จู๋ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของหานเจวี๋ยตกอยู่ในสายตาของนาง นางไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด กลับมองหานเจวี๋ยด้วยสายตาพร่ามัวพลางค่อยๆ ยกมือขวาไปลูบคลำใบหน้าเขา
เทียบกับในอดีตแล้ว โม่จู๋ในขณะนี้งดงามกว่ามาก ใบหน้ามีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม พอที่จะทำให้บุรุษมากมายใจเต้นได้
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “แม่นางโม่ ฟื้นสิ!”
โม่จู๋ราวกับไม่ได้ยิน ยังคงลูบคลำหานเจวี๋ย
เพียะ!
หานเจวี๋ยตบนางไปฉาดหนึ่ง นางได้สติในทันที
โม่จู๋กุมใบหน้าเรียวของตนเองแล้วกล่าวด้วยความน้อยใจ “ทำไมท่านถึงตีข้าอีกแล้ว!”
‘อีกแล้ว? ข้าเคยตีเจ้าตอนไหนกัน’
หานเจวี๋ยไม่คิดอะไรมาก แต่ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลโม่ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นมารไปแล้ว”
โม่จู๋ได้สติกลับมา นางมองร่างของตัวเองตามจิตใต้สำนึก พอเห็นว่าชุดคลุมของตนเองถูกเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีขาวของหานเจวี๋ย นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนก แต่กลับตื่นเต้นดีใจ
“ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าหรือ”
“ใช่…”
“ท่านเห็นเรือนร่างของข้าหมดแล้ว?”
“ข้าไม่ได้มอง ข้าหลับตาตอนสวมเสื้อผ้าให้เจ้า”
“เหตุใดท่านถึงหลับตา ไม่ใช่ว่ามองเห็นแล้วถึงหลับตาหรอกหรือ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอโทษด้วย”
“ข้าไม่ต้องการ อย่างไรเสียท่านก็ต้องรับผิดชอบ ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะตามพัวพันท่าน”
“เจ้าฉวยโอกาสกันนี่”
“ฉวยโอกาส?”
หานเจวี๋ยปวดหัว เกิดมารูปงามเกินไปก็มีข้อเสียเช่นกัน
เขายอมรับว่านอกจากตัวเองจะหล่อเหลาและเคยช่วยชีวิตโม่จู๋ไว้แล้ว ในหลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็ไม่เคยเป็นห่วงโม่จู๋เลย
หากเปลี่ยนเป็นโจวฝาน โม่จู๋คงเปลี่ยนใจไปนานแล้ว
โม่จู๋กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ จากนั้นก็เริ่มตอบคำถามเมื่อครู่ “ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด ตั้งแต่เข้าสู่ระดับรวมแก่นปราณ ขณะที่ข้าฝึกบำเพ็ญมักจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นมารในใจ เมื่อไม่นานมานี้ถึงพบว่าไม่ใช่มารในใจ แต่เป็นเจตจำนงที่บรรพชนตระกูลโม่ส่งต่อมา ตระกูลโม่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญสายมารในแดนบำเพ็ญพรต ทว่าเป็นมารที่แท้จริง มารเคยเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งในอดีต ต่อมาหลังจากสูญสิ้น วิชายุทธ์ของเผ่ามารก็ตกทอดสู่เผ่ามนุษย์ จึงมีผู้บำเพ็ญสายมารเกิดขึ้นมา ตระกูลโม่นับว่าเป็นลูกหลานของการผสานรวมระหว่างเผ่ามารกับเผ่ามนุษย์”
หานเจวี๋ยหรี่ตาถาม “เช่นนี้เจ้าจะสูญเสียการควบคุมหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...