“จริงๆนะ ผมมีบอดี้การ์ดสองคน เป็นทหารรับจ้างที่ปลดประจำการไปแล้ว พวกเขาก็เคยฆ่าคนกับมือ และกลิ่นไอของชาหวานเหมือนกับบอดี้การ์ดสองคนนั้นของผมเลย และที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่ผมจับมือกับเธอ ผมสัมผัสได้ถึงตาปลาและหนังที่หนาด้านบริเวณง่ามมือด้วย นั่นคือลักษณะของคนที่ถือปืนเป็นประจำนะครับ” ราเม็งพูดอย่างเอาจริงเอาจัง
มายมิ้นท์สูดหายใจเข้าอย่างกะทันหัน “คุณพระ คิดไม่ถึงเลยว่าชาหวานจะไม่ธรรมดาขนาดนี้!”
“ดังนั้นพี่ต้องอยู่ให้ห่างจากเธอหน่อยนะครับ” ราเม็งกำชับอีกรอบหนึ่ง
แต่มายมิ้นท์กลับส่านหน้าไปมา แล้วพูดว่า “คงทำไม่ได้หรอก ชาหวานเคยช่วยฉัน ถ้าจู่ฉันตีตัวออกห่างเธอ มันจะไม่เป็นการเนรคุณหรอกเหรอ? และฉันก็เชื่อว่าเธอจะไม่ทำร้ายฉัน”
อีกประการหนึ่ง ใครกำหนดว่าคนที่เคยฆ่าคนจะต้องเป็นคนไม่ดีเสมอไปล่ะ
ในมือของเหล่าทหารที่ปกป้องดินแดนและมาตุภูมิก็เปื้อนเลือดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? แต่พวกเขาก็เป็นคนดีนี่นา
เมื่อเห็นว่ามายมิ้นท์ดื้อรั้นอย่างนี้ ราเม็งก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เขาจึงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “โอเค แต่ว่าพี่ครับ ผมยังหวังว่าพี่ระวังตัวเอาไว้สักนิด อย่าได้เชื่อใจเธอจนหมดใจด้วยนะครับ”
มายมิ้นท์รู้ดีว่าเขาหวังดีต่อตัวเอง เธอจึงยิ้มและพยักหน้าไปมาว่า “โอเค พี่จะจำเอาไว้ก็แล้วกัน”
ในระหว่างที่คุยกัน พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
พอราเม็งจอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปพร้อมกับมายมิ้นท์
ภายใต้การนำทางของบริกร ทั้งสองคนก็เดินมาจนถึงห้องอาหารชั้นพิเศษที่การันต์อยู่แล้ว
เขากำลังยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง และกำลังเล่นมีดผ่าตัดเล่มเล็กๆอยู่ พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากข้างหลัง เขาจึงค่อยๆหันหลังมา
“พามาแค่คนเดียวเองเหรอ?” หลังจากที่การันต์เหลือบมองดูราเม็ง แล้ว เขาวางสายตาทั้งหมดไว้ที่ตัวของมายมิ้นท์มายมิ้นท์ตอบอย่างเมินเฉยว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน คนอื่นๆก็เฝ้าอยู่ตรงที่ลับใกล้ๆนี่แหล่ะ”
ระหว่างทางมาที่นี่ เธอได้ติดต่อบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง และใช้เงินหนึ่งแสนหยวนในการจ้างบอดี้การ์ดมาแล้วสิบคน
บอดี้การ์ดทั้งสิบคนน่าจะอยู่ในโรงแรมแล้ว ตอนที่เธอเพิ่งจะมาถึง ก็รู้สึกอย่างเลือนรางว่ามีคนกำลังเฝ้าดูเธออยู่
“คุณบอกให้ฉันมาฟังว่าส้มเปรี้ยวจะจัดการกับฉันอย่างไรต่อไปไม่ใช่เหรอ? แล้วส้มเปรี้ยวล่ะ?” มายมิ้นท์มองซ้ายมองขวา แล้วถาม
การันต์ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา แล้วทำท่าทางเชิญให้เธอนั่งลง “เธอยังมาไม่ถึง และเธอก็จะไม่มาที่ห้องนี้ด้วย ห้องนี้มีไว้ให้คุณฟัง ผมกับเธอจะพูดคุยกันที่ห้องถัดไป และที่ห้องถัดไปได้ถูกผมติดตั้งเครื่องดักฟังเอาไว้แล้ว”
เขาชี้ไปที่อุปกรณ์ดักฟังบนโต๊ะ
“งั้นเหรอคะ?” มายมิ้นท์วางกระเป๋าและนั่งลง
ราเม็งนั่งลงไปข้างๆเธอทันที
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของการันต์ก็ดังขึ้นมาครู่หนึ่ง
เขาหยิบมันออกมาดู แว่นตาของเขาสะท้อนแสงแวบหนึ่ง แล้วเขาก็วางโทรศัพท์มือถือกลับไปอีกครั้ง “เธอมาแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
มายมิ้นท์ทำเสียงอืมเป็นคำตอบรับ
การันต์จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย แล้วออกไปจากห้อง
ไม่นาน มายมิ้นท์ก็ได้ยินอุปกรณ์ดักฟังที่อยู่บนโต๊ะมีเสียงพูดดังขึ้นมาแล้ว
ซึ่งก็คือเสียงของส้มเปรี้ยวกับการันต์นั่นเอง
“เมื่อกี้คุณไปไหนมา ทำไมในห้องถึงไม่มีใครอยู่เลย” ส้มเปรี้ยวมองไปยังการันต์ที่เดินเข้ามาด้วยความไม่พอใจ แล้วบ่นว่าเขา
แต่ไหนแต่ไรมา ทุกครั้งที่เธอต้องการเจอเขา เขามักจะมาถึงก่อนเวลาเสมอ หลังจากนั้นก็เฝ้ารอให้เธอเข้ามา
นี่เป็นครั้งแรกที่เมื่อเธอมาถึง เธอกลับไม่เห็นคนของเขา ซึ่งนี่ทำให้เธอรู้สึกไม่มีความสุข และรู้สึกว่ากำลังถูกดูหมิ่นดูแคลนเป็นอย่างมาก
“ผมไปเข้าห้องน้ำมาครับ ต้องขอโทษด้วย” การันต์ดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง
ส้มเปรี้ยววางกระเป๋าลงอย่างแรง แล้วพูดว่า “ที่ฉันมาพบคุณในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเรื่องอื่นใด แต่เป็นเรื่องของมายมิ้นท์ ฉันอยากให้คุณฆ่าเธอเดี๋ยวนี้เลย!”
การันต์หรี่ตาลง
มายมิ้นท์ที่อยู่ห้องข้างๆก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว
คิดไม่ถึงเลยว่าส้มเปรี้ยวจะให้การันต์มาฆ่าเธอ!
เพราะว่าตัวเองลงมือทีไรก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปหมดแล้ว ดังนั้นก็เลยคิดจะให้คนอื่นเป็นคนลงมือใช่ไหม?
“พี่ครับ......” ราเม็งกำหมัดแน่น ใบหน้าที่อ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไรเย็นชาขึ้นมาจนทำให้คนรู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก “ผู้หญิงคนนั้น ชั่วช้าเกินไปแล้ว!”
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากสีแดง แล้วพูดว่า “ฉันรู้ และฉันก็รู้มาตั้งนานแล้วด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...