เพราะฉะนั้นถึงเธอจะมองไม่เห็น แต่เธอก็หัน‘สายตา’ไปที่ใบหน้าของลำดวนได้อย่างแม่นยำ
ตอนนี้ลำดวนเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากแล้ว ทั้งปวดหัวทั้งเวียนหัว จนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
เธอฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะสอบสวน พยายามลืมตามองไปที่คนทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้า
ผู้ชายสามคนนั้นเธอไม่รู้จัก แต่เธอรู้จักผู้หญิงคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น และกำลังถามเธอว่าใช่ลำดวนหรือเปล่า
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เธอเคยเห็นมาก่อน ในรูปถ่ายที่คนคนนั้นเคยให้เธอมา
ลำดวนตอบเหมือนหายใจไม่ทัน “ฉันรู้ว่าคุณมาทำไม แต่ว่าพวกคุณตายใจไปเถอะ ฉันไม่มีทางบอกหรอก”
ถ้าพูดออกมา คนคนนั้นก็จะไม่ช่วยลูกชายของเธอแล้ว
ลูกชายของเธอ เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ เธอไม่อยากให้ลูกชายไม่ได้รับการรักษาเพราะว่าไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นเธอจำเป็นที่จะต้องช่วยลูกของเธอ
ถึงแม้ลูกชายของเธอ จะไม่รู้เลยว่ายังมีแม่อย่างเธอคนนี้อยู่บนโลกด้วย
พอมายมิ้นท์ได้ยินคำพูดของลำดวน คิ้วเรียวก็ขมวดกันเป็นปมขึ้นมา
เธอยังไม่ได้ถามเลย คนคนนี้ก็พูดว่าไม่มีทางบอก ความรู้แบบนี้ มันทำให้คนไม่ชอบใจจริง ๆ
มายมิ้นท์บีบที่พักแขนรถเข็นเล็กน้อย พยายามข่มไฟโกรธในใจลงไปได้เล็กน้อย ถึงเปิดปากพูดขึ้นมาใหม่ว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจะไม่พูด? คุณจะต้องรู้ไว้นะ ว่าแค่คุณพูดออกมา โทษของคุณก็จะเบาบางลง ถ้าคุณไม่พูด โทษก็จะยิ่งหนักเข้าไปอีกนะ”
“ฉันรู้ค่ะ ไม่เป็นไร ในเมื่อไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีทางพูดอยู่แล้ว” ลำดวนพูดไปหมดแล้วก็หัวเราะขึ้นมา รอยยิ้มทั้งขมขื่นทั้งเหนื่อยล้า
ไฟโกรธที่มายมิ้นท์เพิ่งข่มลงไปเมื่อกี้ คราวนี้ก็พุ่งขึ้นมาอีกแล้ว และที่หัวก็เริ่มรู้สึกไม่สบายขึ้นมาแล้ว
เปปเปอร์รู้สึกถึงความผิดปกติของเธอก่อน แล้วก็เอามือไปวางลงที่ไหล่ของเธอแล้วบีบเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยขึ้นว่า “เอาล่ะ คุณอย่าเพิ่งโมโหไป หายใจเข้าลึก ๆ ปรับอารมณ์สักหน่อยนะ”
มายมิ้นท์เองก็รู้ถ้าตัวเองไม่สงบสติอารมณ์ลงมาจะเกิดผลอะไร แล้วก็ไม่สนใจแล้วว่าเขาจะแตะต้องตัวเธออยู่ จึงหลับตาลงและทำตามที่เขาให้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
ลาเต้จ้องมองมือของเปปเปอร์ที่วางอยู่บนไหล่มายมิ้นท์ “นี่ ไอ้เปปเปอร์ รีบเอามือสกปรกๆ ของคุณออกไปจากไหล่ยาหยีเลยนะ นี่คุณแอบแต๊ะอั๋งเหรอ”
พูดแล้ว เขาก็รุดหน้าเข้ามาจะลงมือเอง จะดึงมือเปปเปอร์ออกเอง
แต่ว่าเปปเปอร์ก็ไม่ให้โอกาสเขาด้วยซ้ำ ในตอนที่เขากำลังยื่นมือมานั้น เปปเปอร์ก็ดึงมือออกเลย
แล้วลาเต้ก็คว้าได้แต่อากาศ จนเกือบจะล้มลงไปเลย
ผู้ช่วยเหมันตร์รีบรับตัวเขาไว้ แล้วยิ้มเล็กน้อยและถามขึ้นว่า “คุณลาเต้ ไม่เป็นอะไรนะครับ?”
“ผมจะเป็นไรหรือไม่เป็นไรต้องให้คุณมาสนด้วยเหรอ?” ลาเต้ทำเสียงหึขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วผลักผู้ช่วยเหมันตร์ออกแล้วกลับไปยืนอยู่ข้างมายมิ้นท์
ผู้ช่วยเหมันตร์จ้องมองเขา แล้วก็ส่ายหน้าอย่างไม่สนใจ
คุณลาเต้คนนี้นี่เหมือนกับเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่งจริง ๆ เจอใครก็กัดไปทั่ว
เปปเปอร์ไม่ได้สนใจว่าระหว่างผู้ช่วยเหมันตร์กับลาเต้จะเกิดอะไรขึ้นมา เขาหรี่ลงจ้องมองไปที่ลำดวน “คุณแน่ใจนะว่าคุณจะไม่พูด?”
แล้วลำดวนก็ฟุบหน้าลงไปเลย ไม่ออกเสียง ท่าทีแสดงออกอย่างชัดเจนอยู่ตรงนี้แล้ว ว่าไม่พูด
มุมปากของเปปเปอร์คลี่ออกมาอย่างเยือกเย็น “คุณจะไม่พูดก็ได้ งั้นคนในครอบครัวคุณก็จะ…….”
“คุณอยากจะทำอะไร?” ลำดวนไม่มีทางที่จะสงบเยือกเย็นได้อีกแล้ว จึงรีบเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่ธรรมดานั้นเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
แม้แต่มายมิ้นท์กับลาเต้ก็จ้องมองเปปเปอร์อย่างตกใจเป็นอย่างมาก
ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คิดไม่ถึง ว่าเปปเปอร์จะใช้คนในครอบครัวลำดวนมาข่มขู่ลำดวนได้
ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยถูกต้องตามหลักศีลธรรมซะเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าวิธีนี้ได้ผลดีที่สุดแล้ว
ที่สำคัญก็เห็นท่าทางของลำดวน เหมือนกับว่าจะเริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว
“ผมอยากจะทำอะไร ในใจคุณก็มีคำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ทางที่ดีคุณก็พูดออกมาดี ๆ ดีกว่า พูดทุกอย่างออกมา ถ้าคุณไม่ยอมพูด ผมก็จะเอาคนในครอบครัวคุณมาเชือดไก่ให้ลิงดู” ดวงตาของเปปเปอร์หรี่ลง น้ำเสียงเย็นยะเยือกเหมือนกับถ้ำน้ำแข็ง ไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด
ลำดวนตัวสั่นขึ้นมาทีหนึ่ง จ้องมองเขาเหมือนกับจ้องมองปีศาจอยู่
เปปเปอร์พึงพอใจต่อสายตาของเธอมาก แล้วก็หรี่ตาที่เย็นชาลงแล้วถามขึ้นมา “พูดมาเถอะ ทำไมต้องมาลอบทำร้ายมายมิ้นท์ด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...