“ฟางเหนียง เอ๋!!ทำไมวันนี้เจ้าเอาตะกร้าไปด้วยล่ะ เจ้าจะซื้อของเข้าบ้านรึ” ปกติแล้วหากว่าฟางเหนียงแบกตะกร้าไปที่ทำงานด้วย นางมักจะไปซื้อของใช้ในครัวกลับบ้านเสมอ “ใช่แล้วล่ะ วันนี้ตอนเย็นเจ้ามาหาข้าที่บ้านด้วยนะ ข้าจะพาเจ้ากินหม้อไฟ” นางเอ่ยชวนเหมยเหม่ยล่วงหน้า หากว่าเหมยเหม่ยไม่ว่างนางจะได้ซื้อของไม่เยอะ “หม้อไฟรึ หม้อไฟคืออะไร ข้าไม่เคยได้ยิน” เหมยเหม่ยไม่เคยรู้จักเมนูนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิดมาเหมยเหม่ยเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก “เย็นนี้เจ้ามาหาข้าสิ เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เอง” นางไม่ตอบเหมยเหม่ย แล้วเดินนำหน้าเหมยเหม่ยไปขึ้นรถม้า เหมยเหม่ยที่เห็นว่าฟางเหนียงไม่ตอบแล้วเดินหนีไป เหมยเหม่ยจึงรีบวิ่งตามไป แล้วเซ้าซี้นางเรื่องหม้อไฟตลอดทางจนถึงที่ทำงาน พอทั้งสองคนมาถึงที่ทำงานก็เห็นว่าคนงานใหม่กำลังเตรียมวัตถุดิบกันอยู่
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนะที่พี่ๆ เขาจะได้สอนงานพวกเรา จดจำกันไว้ให้ดีๆ ตั้งใจฟังที่พี่ๆเขาบอกกันด้วยล่ะ” เถ้าแก่ที่เดินออกมาจากห้องทำงานก็ได้กล่าวกับคนงานใหม่ คนงานใหม่พยักหน้ารับคำสั่งแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ฟางเหนียงเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่เป็นคนงานใหม่ตอนนี้กำลังเลือกผักออกจากตะกร้า นางสอนเขาเลือกผักว่าต้องเด็ดใบไหนทิ้งและเก็บใบไหนไว้ ผักแต่ละชนิดที่เด็ดเสร็จแล้วก็เอาไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วสะเด็ดน้ำให้แห้ง นางบอกชายหนุ่มทุกอย่างที่นางเคยทำ นางสอนเพียงไม่นานชายหนุ่มคนนี้ก็เข้าใจโดยง่าย เมื่อนางเห็นว่าชายหนุ่มทำได้แล้วนางจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่เป็นคนงานใหม่อีกคน แล้วสอนเรื่องการหั่นผักแต่ละชนิด หญิงสาวคนนี้น่าจะไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน หยิบจับอะไรก็ยังไม่ถนัดมือนัก นางเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปบอกว่าต้องจัดอะไรก่อนหลัง จับมีดยังไงไม่ให้บาดมือ ต้องทำยังไงถึงจะง่ายขึ้น
นางเห็นหญิงสาวคนนี้แล้วก็คิดถึงเมื่อก่อนตอนพ่อกับแม่นางจากไปช่วงแรกๆ นางทำกับข้าวไม่เป็นสักอย่าง หั่นผักมีดก็บาดมือเกือบทุกนิ้ว กว่าจะจับมีดคล่องมือนางก็ได้แผลไปเยอะเลยทีเดียว ส่วนของเหมยเหม่ยนั้น คนงานใหม่ทั้งสองคนเคยทำงานเกี่ยวกับงานนี้มาก่อนเลยสอนไม่ยากเท่าไหร่ นางสอนวิธีห่อผักดองว่าต้องทำเช่นไร แนะนำเชิญชวนลูกค้าแบบไหน เหมยเหม่ยบอกทุกอย่างให้คนใหม่ทั้งสองคนอย่างหมดเปลือก พอลูกค้าเริ่มเข้ามาเหมยเหม่ยก็เริ่มสังเกตดูการทำงานของทั้งสองคน ไม่เสียแรงเลยจริงๆ ที่เหมยเหม่ยบอกทุกอย่างที่นางได้เรียนรู้มากับหญิงสาวทั้งสองคนนี้ “พี่ฟางเหนียง พี่เหมยเหม่ย เถ้าแก่เรียกไปพบอยู่ที่ห้องทำงานเจ้าค่ะ” คนงานใหม่เดินมาเรียกนางทั้งสองที่ตอนนี้กำลังเตรียมตัวกลับบ้าน นางทั้งสองเดินเข้าไปหาเถ้าแก่ในห้องทำงานที่ตอนนี้เถ้าแก่กำลังนั่งคิดบัญชีอยู่
“เถ้าแก่เจ้าค่ะ” เป็นเหมยเหม่ยที่เรียกเถ้าแก่ “อ่อ พวกเจ้ามาแล้วรึ มาๆ เข้ามาหาข้าก่อน” เถ้าแก่เรียกทั้งสองคนให้เข้ามาใกล้ๆ โต๊ะที่ทำงาน แล้วยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้ทั้งสองคน ทั้งสองคนยื่นมือไปรับด้วยความสงสัย “คืออะไรหรือเจ้าค่ะ เถ้าแก่” ฟางเหนียงเอ่ยถาม “พวกเจ้าก็ทำงานกับข้ามานาน นี่ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ จากข้า ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากนักแต่ก็น่าจะพอให้พวกเจ้าได้เริ่มต้นใหม่ได้” ในห่อผ้าเล็กๆ นี้ที่พวกนางไม่รู้ว่าคืออะไรที่อยู่ข้างใน แต่ก็ขอขอบคุณเถ้าแก่อย่างยิ่ง ที่มีสินน้ำใจให้กับพวกนางเช่นนี้ “เถ้าแก่อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ แค่เถ้าแก่ให้สินน้ำใจนี้กับพวกข้าก็ดีมากพอแล้ว ข้างในนี้จะมีค่ามากค่าน้อยนั้นไม่ได้สำคัญเลยเจ้าค่ะ ขอบคุณเถ้าแก่มากนะเจ้าค่ะ” เหมยเหม่ยเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ เถ้าแก่ดีกับพวกนางจริงๆ ถึงแม้พวกนางจะไม่ได้มาทำงานให้แกอีก แกก็ยังมีสินน้ำใจให้พวกนาง นางทั้งสองซึ้งใจมากยิ่งนัก นางทั้งสองกล่าวขอบคุณเถ้าแก่อีกครั้งแล้วกล่าวลาแกเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทั้งสองคนจึงพากันออกมาจากห้องทำงานของเถ้าแก่ ทั้งสองคนไม่ได้ไปบอกลาลู่จื้อเพราะลู่จื้อไปส่งสินค้า
ทั้งสองคนจึงออกจากร้านแล้วพากันไปที่ตลาดเลย แล้วเดินตรงไปร้านขายยาทันที “สวัสดีเจ้าค่ะเถ้าแก่” ฟางเหนียงเอ่ยทักทายเถ้าแก่ร้านขายยาที่ตอนนี้กำลังคัดเลือกสมุนไพรที่ได้ซื้อมาวันนี้ “อ้าว!!เจ้าคนเมื่อวานนี้ วันนี้เจ้ามีสมุนไพรมาขายอีกอย่างนั้นรึ” เถ้าแก่ถามด้วยความสงสัยเพราะเมื่อวานนางก็เพิ่งเอาสมุนไพรมาขายแถมยังเยอะอีกด้วย “ใช่แล้วเจ้าค่ะเถ้าแก่ แต่ข้าอยากรู้ว่าเถ้าแก่รับซื้อสมุนไพรราคาสูงหรือไม่” เถ้าแก่ได้ยินที่นางถามเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา จะมีใครที่ไหนจะหาสมุนไพรราคาสูงมาขายได้กัน ในเมื่อชาวบ้านไม่มีใครกล้าเข้าป่าลึกเพื่อไปหาสมุนไพรนานแล้ว “ข้ารับอยู่แล้ว แต่จะมีใครที่ไหนเอามาขายให้ข้าได้ล่ะ แค่สมุนไพรธรรมดาทั่วไปยังยากเลยที่ชาวบ้านจะเอามาขาย จะมีบ้างก็นานๆ ทีเท่านั้นแหละ” ฟางเหนียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หยิบห่อผ้าออกมาจากตะกร้าแล้วคลี่ออกให้เถ้าแก่ดู เถ้าแก่ที่เห็นดังนั้นก็อ้าปากค้างไปในทันที ทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงหากล้วยไม้สือหูมาได้ล่ะ นางเข้าไปในป่าลึกรึ หรือว่านางหามาจากที่อื่นกัน
“เถ้าแก่ แล้วกล้วยไม้นี้ล่ะ เถ้าแก่รับซื้อหรือไม่” เถ้าแก่ได้ยินที่ฟางเหนียงถามก็ได้สติขึ้นมา แล้วเดินเข้ามาดูกล้วยไม้สือหูใกล้ๆ นานมากแค่ไหนกันนะที่ไม่เคยมีชาวบ้านหากล้วยไม้สือหูนี้มาขายให้กับเขา เท่าที่จำความได้เขาเคยเจอครั้งสุดท้ายตอนอายุ 30 ปีตอนนี้ก็ปาไป 60 ปีแล้ว เขาเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีสมุนไพรชนิดนี้อยู่ที่เขาแห่งนี้ “เจ้าไปหามาจากไหนรึ เจ้าเข้าป่าลึกไปหามาอย่างนั้นรึ” เถ้าแก่ยังคงไม่หายสงสัยว่าที่เชิงเขายังมีสมุนไพรชนิดนี้อยู่ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าไปเก็บมาเมื่อวานกับเพื่อนข้า เห็นเพื่อนข้าบอกว่ามันราคาสูง เถ้าแก่จะซื้อในราคาเท่าไหร่รึ” ฟางเหนียงเข้าเรื่องราคาเลย เพราะตอนนี้ก็เริ่มจะเย็นแล้วเดี๋ยวนางจะไปซื้อของกลับบ้านไม่ทัน เถ้าแก่ที่เห็นนางมีท่าทีรีบร้อนก็รีบบอกราคาออกไปทันที “ข้ารับซื้อจินละ 100 ตำลึงทอง เจ้าเอามาชั่งสิว่าได้เท่าไหร่” ทั้งสองคนได้ยินราคาของมันก็อึ้งไปชั่วขณะ แค่ดอกกล้วยไม้แค่นี้สามารถทำเงินให้นางได้มากถึงเพียงนี้เลยรึ ฟางเหนียงคิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ
“น้ำหนักอยู่ที่ 1 จินพอดีเท่ากับ 100 ตำลึงทอง อ่ะนี้ ตั๋วเงิน 10 ใบ ใบล่ะ 10 ตำลึงทอง” เถ้าแก่รีบเข้าไปหยิบตั๋วเงินในห้องออกมาทันที แล้วยื่นให้นางเหมือนกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ นานแค่ไหนแล้วที่ร้านเขาไม่ได้สมุนไพรราคาสูงเช่นนี้ แค่นี้ร้านของเขาก็มีหน้ามีตาน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นแล้ว ฟางเหนียงรับตั๋วเงินมาด้วยมือที่สั่นไหว แล้วหันไปเรียกเหมยเหม่ยที่ตอนนี้กำลังยืนอึ้งกับเงินที่ได้มา "เหมยเหม่ย เหมยเหม่ย เราไปซื้อของกันต่อเถอะ" เหมยเหม่ยยังคงอ้าปากพะงาบๆ จะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมาสักที จนในที่สุดก็หาเสียงของตนเองเจอแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นๆ "นี่ นี่ มันตั๋วเงิน 100 ตำลึงทองเช่นนั้นรึ ข้า ข้าไม่ยักจะรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้นี่เอง" เหมยเหม่ยยื่นมือไปจับตั๋วเงินที่อยู่ในมือฟางเหนียงแล้วเอามาพลิกดูไปมาด้วยตาลุกวาว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ