บทที่ 29 ก็แค่พ่อบ้านพ่อเรือนคนหนึ่ง
เช้าตรู่วันต่อมา แสงทองอร่ามยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ส่องลงมาที่ขนตางอนยาวเซ็กซี่ของหลีชิงเยียน ครู่หนึ่ง ขนตานั้นค่อยๆขยับ ดวงตาคู่สวย ค่อยๆเปิดออก
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ปลุกประธานผู้งดงามราวเทพธิดาให้ตื่นขึ้น หลีชิงเยียนขยี้ตาคู่สวยนั้นเบาๆ บิดขี้เกียจตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้นเอง ความอบอุ่นที่แปลกประหลาดทำให้รู้สึกเบาสบายอย่างมากที่ช่วงเอว ไม่มีความเจ็บปวดเช่นเมื่อก่อน
หลีชิงเยียนรู้สึกแปลกใจ เธอคิดไม่ถึงว่า ความเจ็บปวดปกติในตอนเช้า มาวันนี้กลับหายไปแล้ว
หรือว่าจะเป็นผลมาจากที่ผู้ชายคนนั้นนวดให้ตนเมื่อคืน
หลีชิงเยียนสีหน้าสงสัย แม้ว่าที่ผู้ชายคนนั้นนวดให้ตนจะรู้สึกสบายมาก แต่หลีชิงเยียนคิดไม่ถึงว่าจะได้ผลดีขนาดนี้ เช้าวันนี้ท้องน้อยกับเอวก็ไม่ปวดอีกแล้ว
หลีชิงเยียนที่สวมชุดกระโปรงนอน สวมรองเท้าแตะเดินลงมาที่ชั้นล่าง มองเห็นซูเสี่ยวหยุนกับซูเหลยนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะอาหาร ทานอาหรเช้าแล้วเรียบร้อย
“เสี่ยวเยียน เธอตื่นสายแบบนี้ทุกวันเหรอ“ หลีชิงเยียนขยับก้นวางข้างซูเสี่ยวหยุน ซูเสี่ยวหยุนก็แซวเธออย่างสนุกปาก
“แล้วทำไมเหรอ”หลีชิงเยียนหยิบแซนวิชขึ้นมาหนึ่งชิ้น ใบหน้าเรียวสวยนั้นแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจ
“ตอนที่เธอเรียนอยู่ที่Pennsylvania Business School เธอตรงต่อเวลาทุกวัน ถ้าสื่อพวกนั้นเอาไปเขียนข่าว นักธุรกิจหญิงเบอร์หนึ่งของเมืองหู้ไห่ เวลาอยู่ที่บ้านไม่มีระเบียบวินัย ไม่รู้ว่าจะมีคนใจสลายมากน้อยขนาดไหน”ซูเสี่ยวหยุนพูดอย่างไม่เกรงใจ
หลีชิงเยียนถลึงตาใส่ซูเสี่ยวหยุน “ซูเสี่ยวหยุน ตอนที่เธออยู่ต่างประเทศ นอกจากหัวเราะเยาะฉันแล้ว ไม่เรียนรู้เรื่องอื่นบ้างหรือไง”
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เท่านี้” ซูเสี่ยวหยุนชำเลืองมองที่เนินหน้าอกของหลีชิงเยียน“ฉันไม่รู้ว่า คนจู้จี้จุกจิกอย่างเธอ ที่หัวเซี่ยเป็นที่สนใจของทุกคน แต่ถ้าเป็นที่ต่างประเทศ ก็ไม่ต่างอะไรกับคัพเอ”
“โรคจิต”หลีชิงเยียนกลอกตามองบนใส่ซูเสี่ยวหยุน เฉินเป่ยที่อยู่ข้างๆได้โอกาสพูดขึ้นมาว่า“ประธานหลีปกติเวลาอยู่ที่บริษัทก็ทำงานยุ่งมากขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องการเวลานอนหลับพักผ่อน เพื่อมาปรับสมดุลร่างกายครับ”
”นี่ยังพอฟังขึ้นหน่อย“ หลีชิงเยียนเหล่มองเฉินเป่ยไม่ความรู้สึกจงเกลียดจงชังอยู่ในใจ
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลีชิงเยียนก็ใช้เวลาแต่งหน้าแต่งตัวตัวอยู่นานกว่าครึ่งค่อนชั่วโมง จึงสวมชุดกระโปรงสีเงิน เดินลงมาจากชั้นสอง ออกไปนอกคฤหาสน์ เดินด้วยความสง่าผ่าเผย
หลีชิงเยียนเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นหลีชิงเยียนขมวดคิ้ว หลังจากที่หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสาย สีหน้าก็แสดงถึงความไม่พอใจทันที
“ไม่ได้!ฉันไม่เห็นด้วย!”
หลีชิงเยียนโต้เถียงกับปลายสายอีกสองสามประโยค ใบหน้าขาวสวยปรากฏให้เห็นความโกรธเกรี้ยว หันหน้ามา ถลึงตาใส่เฉินเป่ยที่เดินมาหา
“ประธานหลี ทำไมหรือครับ”เฉินเป่ยตกตะลึง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“ไปที่บริษัทกับฉัน มีคนเชิญคุณไปดื่มชา!”หลีชิงเยียนขบกรามแน่น เธอไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องพาผู้ชายคนนี้ไปด้วย!
เธอไม่เข้าเข้าใจความคิดของคนคนนั้นเลย แต่เธอไม่มีทางเลือก ที่จะขัดคำสั่งของคนผู้นั้น
“ได้ครับ”เฉินเป่ยงงอยู่ครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ ใบหน้าแสดงความยินดี หลีชิงเยียนเป็นฝ่ายชวนเขาไปบริษัทด้วย!
นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอดแต่ก็ไม่กล้าที่จะคิด ซูเหลยที่อยู่ข้างๆเบะปาก มองเฉินเป่ยด้วยสายตาที่ดูถูกมากยิ่งขึ้น
สำหรับหล่อนแล้ว เห็นชัดว่าที่เฉินเป่ยหลอกเมื่อคืน ทำให้หลีชิงเยียนเริ่มใจอ่อน เมื่อได้รับความเชื่อถือจากเธอแล้ว ค่อยๆเข้าใกล้ประธานหลีมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูเหลยนับวันยิ่งรู้สึกขยะแขยงคนโกหกหลอกลวงอย่างเฉินเป่ย ยิ่งพยายามหาโอกาสเปิดโปงเขา!
เฉินเป่ยไม่กล้าชักชา คว้าแซนวิชมาหนึ่งอันและดื่มนม จากนั้นก็รีบวิ่งตามร่างสวยนั้นเดินออกจากคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็ว……
ทักษะการขับรถของซูเหลยนั้นเยี่ยมยอดมาก เธอเคยเป็นรองห้วหน้าหน่วยสงครามพิเศษ แม้แต่รถถังกับเครื่งบินซูเหลย ก็ล้วนชำนาญทั้งสิ้น กรขับรถแบบนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายดายมาก
รถมายบัคซีรี่ส์เอส ไม่มีการติดขัดเลยแม้แต่น้อยในช่วงถนนที่การจราจรหนาแน่น ภายใต้การขับของซูเหลย เหมือนกับเป็นลำแสงสีดำ ที่หลบเลี่ยงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆไม่หยุด แต่กลับทำให้คนที่นั่งในรถอย่างหลีชิงเยียนและเฉินเป่ยรู้สึกสบายมาก ไม่รู้สึกถึงการกระแทกเลย
หลีชิงเยียนและเฉินเป่ยนั่งอยู่บนเบาะหลังด้านข้างคนละฝั่ง ตรงกลางมีกระเป๋าของหลีชิงเยียนวางอยู่ เป็นเส้นแบ่งเขต ตามที่หลีชิงเยียนพูด เฉินเป่ยห้ามแตะต้องกระเป๋าใบนี้ มิฉะนั้นหลีชิงเยียนจะให้เฉินเป่ยไปนั่งที่เบาะด้านหน้าข้างคนขับทันที
“รีบเข้าไปเดี๋ยวนี้” หลีชิงเยียนสะบัดมือออกจากมือของเฉินเป่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ เหยียบรองเท้าส้นสูง เดินตรงไปที่ลิฟต์ เดิมนั้นเธอไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องเธอกับเฉินเป่ย
“ไปเถอะ” ซูเหลยเอ่ยเสริม เฉินเป่ยจ้องมองด้านหลังของร่างนั้น มุมปากกระดกขึ้น แล้วจึงรีบตามไป
รอจนเฉินเป่ยและซูเหลยเดินมาถึงชั้นบนสุดของอาคารตระกูลหลี มาพร้อมกับเลขาหลินเฉว่เดินเข้าไปในห้องรับแขก พอเข้าไม่ ก็เห็นหลีหยางและไต้ห้าวหนานกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ พูดคุยยิ้มแย้ม คุยกันอย่างมีความสุขมาก
“พ่อคะ เรียกฉันกับเฉินเป่ยมาทำไมคะ” หลีชิงเยียนสองมือกอดอก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชวนฟัง
หลีหยางมองไปที่หลีชิงเยียน ยิ้มอ่อนๆ “พ่อได้ยินว่าเรากำลังจะร่วมมือกับบริษัทการลงทุนหยุนเจี๋ย ดังนั้นขึงเชิญคุณห้าวหนานมาดื่มชาสักสองสามแก้ว ก่อนหน้านี้บอร์ดบริหารมีเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ทันได้ต้อนรับห้าวหนาน การมาดื่มชาครั้งนี้ ก็ถือว่าชดเชยให้แล้วกัน”
“ชิงเยียน ครั้งนี้ลูกทำได้ดีมาก เมื่อมีบริษัทการลงทุนหยุนเจี๋ย บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปครั้งนี้ก็จะได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางธุรกิจของหัวเซี่ย หุ้นก็เริ่มขึ้นติดต่อมาหลายวันแล้ว
“แล้วทำไมต้องเรียกเขามาด้วยล่ะคะ” หลีชิงเยียนยังคงกอดอก คิ้วก็ยังขมวดแน่น
“ห้าวหนานบอกว่าอยากพบเขา” หลีหยางมองไปที่ไต้ห้าวหนาน。
ไต้ห้าวหนานค่อยๆฉีกยิ้ม พูดว่า “ครั้งก่อนที่พบกับคุณเฉิน ก็ตกตะลึงในฝีมือการทำอาหารของคุณเฉิน ครั้งนี้ขอใช้ชาถ้วยนี้ แสดงความขอบคุณต่อมิตรภาพที่ทุกท่านมีให้”
เฉินเป่ยยิ้ม เอ่ยอย่างเสแสร้งว่า “คุณไต้ผมก็แค่ทำอาหารทำงานบ้านทั่วไป ไหนจะกล้ารับมิตรภาพจากคุณกัน!”
ไต้ห้าวหนานมองเฉินเป่ยอย่างมีนัยยะ ยิ่งยิ้มก็ยิ่งดูซับซ้อน เขาจำได้แม่น คืนวันที่เขานิ้วด้วน คำพูดที่ผู้ชายตรงหน้าบอกกับตน กับความเจ็บปวดที่ตนเองต้องสูญเสียนิ้วไป!
เขาไม่ลืม……รอก่อน เขาจะทำให้เฉินเป่ย ชดเชยกับความเจ็บปวดนี้!ไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีกตลอดไป!
ตระกูลหลีที่ยิ่งใหญ่ อำนาจบารมีล้นฟ้า ขึ้นมาอยู่ในการจัดอันดับตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยได้ แต่ในสายตาของไต้ห้าวหนาน ก็แค่มดตัวหนึ่ง เพียงดีดนิ้วก็ตายแล้ว!
“ใช่แล้ว เขาก็แค่พ่อบ้านพ่อเรือนคนหนึ่ง ห้าวหนาน คุณก็พูดเกินไป เขายังไม่มีสิทธิ์ที่ทำให้คุณต้องมาติดค้างน้ำใจอะไร” หลีชิงเยียนเอ่ยปาก ไต้ห้าวหนานเป็นใคร เป็นคนที่เฉินเป่ยอยากจะเอาตัวมาเทียบได้ในชีวิตนี้ เหตุใดจึงทำให้ไต้ห้าวหนานบอกว่าติดค้างเขาได้นะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สายเปย์เบอร์หนึ่ง