แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 223

ถ้าบอกว่าหวังจีนฮวาเป็นพยาน จงจิ่นหลินยังคิดว่ายอมรับได้ แต่ถ้าอู๋ซื่อผู้นั้นเป็นพยานก็จะอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของจงจิ่นหลินไปแล้วโดยสิ้นเชิง

เพราะว่าจงจิ่นหลินนั้นไม่เคยพบกับอู๋ซื่อเลย

แต่ทว่า ถึงแม้ว่าจงจิ่นหลินจะไม่เคยพบกับอู๋ซื่อ แต่อู๋ซื่อกลับเคยพบกับจงจิ่นหลินมาแล้ว

ในวันนั้น หลังจากที่จงจิ่นหลินทำให้เซวียยี่ซานกับหวังจีนฮวาไม่ได้สติแล้ว เขาก็จ้างคนให้ไปส่งพวกเขาสองคนกลับไปที่บ้านที่เขาเช่าเอาไว้ข้างนอก

แต่ทว่าเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน เซวียยี่ซานกลับฟื้นขึ้นมาเสียแล้วเพราะเขากินอาหารที่วางยาลงไปค่อนข้างน้อย และเมื่อเขาเห็นว่า จงจิ่นหลินกำลังจะทำเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรมกับหวังจีนฮวาเขาก็เลยจะต่อต้าน

จงจิ่นหลินเกรงว่าเรื่องนี้จะอึกทึกครึกโครมออกไป เขาก็เลยหยิบเชิงเทียนทองแดงขึ้นมาแล้วตีไปบนหน้าผากของเซวียยี่ซานและต่อจากนั้นก็ทุบลงไปหลายครั้งจนกระทั่งเซวียยี่ซานหยุดหายใจลงไป

ถึงแม้ว่าตระกูลจงจะมีเงินเพียงเล็กน้อย และข้างกายของจงจิ่นหลินก็มีคนรับใช้ชายอยู่ด้วยคนหนึ่ง แต่ตอนที่ทำเรื่องนี้ ปกติจงจิ่นหลินก็มักจะหลบเลี่ยงคนรับใช้ชาย

อย่าวไรเสียสำหรับเขาแล้ว นอกจากตัวเองกับพ่อของตัวเองแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครไว้ใจได้เลย

ดังนั้นเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นถูกตัวเองทุบตีจนตายไปแล้ว จงจิ่นหลินก็ตื่นตระหนกเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น แล้วเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว และจัดการทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้น หลังจากนั้นก็นำผ้าห่มหนา ๆ ผืนหนึ่งมาห่อเซวียยี่ซานเอาไว้ แล้วเอาเขาชายไปฝังที่ชานเมือง

และยังเป็นเพราะว่าบ้านที่เขาเช่าอยู่ค่อนข้างอยู่ห่างไกล ดังนั้นจึงไม่ห่างจากชานเมืองมากนัก

เพียงแต่กระบวนการนี้ถูกอู๋ซื่อเห็นเข้า ในตอนแรก อู๋ซื่อเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นว่าคนที่มีท่าทางเหมือนบัณฑิตคนหนึ่งกำลังแบกผ้าห่มผืนหนึ่งไปทำอะไรที่ชานเมืองให้เปลืองแรง เขาก็เลยเดินตามไป

อันที่จริงเดิมทีอู๋ซื่อคิดว่าจงจิ่นหลินกำลังจะเอาผ้าห่มไปทิ้ง และคิดว่าถ้าหากผ้าห่มถูกทิ้งไปแล้ว เขาก็จะหยิบกลับไปห่มเอง แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า จงจิ่นหลินกำลังจะไปฝังคน

กัวหงหยางจึงได้ให้เจ้าพนักงานไปขุดบริเวณที่ฝังศพตามคำให้การของอู๋ซื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพบกับศพที่เน่าเปื่อยเหลือเพียงกระดูกเข้าแล้วหนึ่งศพ

เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของศพแล้ว สองสามีภรรยาตระกูลเซวียก็ได้ยืนยันแล้วว่านั่นคือชุดที่ลูกชายของตนเองสวมใส่ตอนที่เขาหายตัวไป ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้จะมีคนบอกพวกเขาว่าลูกชายของพวกเขาเสียชีวิตแล้วก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขาเหลือเพียงกระดูกกองหนึ่ง สุดท้ายพวกเขาทั้งสองคนก็ทนยอมรับไม่ไหวแล้วเป็นลมไป

เนื่องจากเจ้าพนักงานที่อยู่ข้างๆศพพบของใช้ส่วนตัวของจงจิ่นหลิน มีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุครบครัน การฆาตกรรมของจงจิ่นหลินจึงกลายเป็นเรื่องจริง

ในตอนที่ทุกคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาจากคดีนี้ ก็มีคนเข้าไปในศาลาว่าการอีกครั้ง และยังคงเป็นเรื่องฟ้องร้องจงจิ่นหลิน

ผู้ที่มาฟ้องร้องจงจิ่นหลินในคราวนี้ก็คือครอบครัวของหญิงสาวที่ถูกเขาทำร้ายจนตั้งครรภ์แล้วไม่ยอมรับ หลังจสกนั้นก็ถูกบังคับให้ตาย

แน่นอนว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ ครอบครัวของหญิงสาวคนนั้นก็เลือกรับเงินหลายสิบตำลึงจากตระกูลจง ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

เหตุผลที่จู่ ๆ พวกเขาก็รีบมาฟ้องอย่างคึกคักในเวลานี้นั้น......อืม แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตัวพวกเขาเองมีจิตสำนึกที่ไปค้นพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว แต่เป็นเพราะว่ากลัวถูกทุบตีต่างหาก

ครอบครัวของหญิงสาวคนนี้ล้วนแต่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพื่อเงินสิบกว่าตำลึงแล้วพวกเขาไม่สนใจเรื่องชีวิตและความตายของหญิงสาวเลย ถึงขนาดที่ว่าพวกเขายังมีความสุขมากหลังจากที่ได้รับเงินนั้นมาอีกด้วย

ดังนั้นตอนที่ลั่วเสี่ยวปิงให้อั้นหวู่และคนอื่น ๆ ไปตามพวกเขามา พวกเขาจึงไม่ได้หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ แต่เลือกที่จะบีบบังคับให้มา

คดีฆาตกรรมสองคดีนี้ รวมทั้งประวัติในการบังคับให้หญิงสาวมาเป็นโสเภณีมากมายที่สองพ่อลูกจงจิ่นหลินได้สารภาพขึ้นมาอีกหลังจากที่ถูกโบยด้วย ในที่สุดสองพ่อลูกตระกูลจงก็ไม่สามารถเดินออกไปจากศาลได้อีก แล้วควบคุมตัวไปโดยปริยาย และจะทำการสอบสวนและประหารชีวิตหลังฤดูใบไม้ร่วง

สำหรับจางเอ้อหลาง ก่อนที่จะเกิดคดีใหญ่เช่นนี้ ยังมีใครบ้างที่จะจำได้บ้างว่าต้องโบยเขา?

ยิ่งกว่านั้น มีลั่วเสี่ยวปิงอยู่ อย่างไรกัวหงหยางก็ต้องเห็นแก่หน้าของลั่วเสี่ยวปิงอยู่แล้ว ดังนั้นศาลจึงปล่อยตัวจางเอ้อหลางไปแล้วโดยปริยาย

แน่นอนว่าประชาชนที่มุงดูอยู่ก็ย่อมไม่มีความคิดเห็นใด ๆ เช่นกัน อย่างไรเสียการทุบตีขยะสังคมเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นการกวาดล้างบุคคลที่ทำให้เกิดความหายนะให้หมดสิ้นไปเพื่อประชาชนแล้ว

หลังจากที่ลั่วเสี่ยวปิงออกไปจากศาล นางก็ขอให้จางเอ้อหลางกลับบ้านไปก่อนเลย ถึงอย่างไรคนของสกุลจางจะต้องเป็นห่วงเขาอยู่อย่างแน่นอน

ส่วนตัวนางน่ะหรือ?

ลั่วเสี่ยวปิงเตรียมจะไปหา หราวชิงหย่าที่ตระกูลกัว

เพียงแต่นางเพิ่งจะเดินทางไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็เห็นหวังจีนฮวาคุกเข่าอยู่บนพื้นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูศาลาว่าการ และหันไปก้มศีรษะคำนับให้สองสามีภรรยาตระกูลเซวีย

ประชาชนที่มุงดูอยู่หน้าประตูยังไม่ได้เดินจากไปไหน และลั่วเสี่ยวปิงก็ได้สังเกตเห็นว่า สายตาที่กำลังมองดูหวังจีนฮวาของประชาชนเหล่านี้นั้นช่างซับซ้อนเป็นอย่างมาก

ในเมื่อมีความเห็นอกเห็นใจ ก็ย่อมมีความไม่ปกติอยู่บ้างเช่นกัน

“ท่านลุง ท่านป้า ชั่วชีวิตนี้จีนฮวาไม่มีวาสนาได้เป็นลูกสะใภ้ของพวกท่าน รวมถึงพี่ยี่ซานด้วย ข้าต้องขอโทษจริง ๆ เจ้าค่ะ......”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง