โห้หลีเฉินสายตาลึกซึ้ง แล้วจับมือของเธอแน่นขึ้นไปอีก
"ในตอนนี้ ผมไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจอะไรเลย แถมยังต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ผมต่างหากล่ะที่ควรกังวลว่าคุณจะรังเกียจผม"
รังเกียจเขาอย่างนั้นเหรอ?
ผู้ชายที่ขนาดนั่งอยู่บนรถเข็น ยังสามารถหลอกลวงความรู้สึกของคนอื่นได้
เย้นหว่านส่งสายตาดูถูกให้เขา แต่ความรู้สึกที่ไม่เชื่อใจกลับกลายเป็นเรื่องตลกไปทันที
ผู้ชายคนนี้ เพื่อเธอแล้วเขาถึงกับสามารถทำลายมนต์สะกดได้ ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเชื่อใจเขา แต่เขากลับสามารถมอบความมั่นใจให้กับเธอได้อย่างมากพอ
เขา คือสามีของเธออย่างสมเหตุสมผล
"โห้หลีเฉิน"
เย้นหว่านจับมือเขาไว้ สายตาจ้องตรงไปที่เขา "จะไม่มีครั้งต่อไปแล้วล่ะ"
เธอจะไม่วิ่งหนีง่ายๆ อีกแล้ว จะไม่ยอมยกเขาให้ใครอีก และยิ่งไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ว่าหัวใจของเขาได้เปลี่ยนไป
แววตาของโห้หลีเฉินนั้นแสนอ่อนโยน
"ผมจำไว้แล้วนะครับ คำสาบานของคุณ"
......
ทั้งสองหวานแหววกันอยู่นาน ถึงยอมแยกออกจากความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้นมาได้
ตอนได้เวลากินข้าว โห้หลีเฉินก็อยากเห็นหน้าลูกชายของเขา โห้หยูเซิง
ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา เขายังไม่เคยมีโอกาสได้ทำหน้าที่ของพ่อให้กับลูกชายเลย
และไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้มีหน้าตาเป็นยังไง
แต่ตอนที่ทั้งคู่ไปที่ห้องอาหาร พวกกงจืออวีต่างก็มาถึงแล้ว แต่กลับไม่มีร่องรอยของโห้หยูเซิงเลย แม้แต่แรบบิทก็ไม่อยู่
กงจืออวีนั้นสายตาเป็นประกายและเข้าใจที่สุด จึงรีบอธิบายไปว่า
"หยูซิงนั้นไม่เคยออกมากินข้าวข้างนอกเลย พี่เลี้ยงจะเป็นคนส่งอาหารของเขาไปให้ที่ห้อง แรบบิทก็เล่นกับเขาอย่างสนุก จึงกินข้าวกับเขาที่ห้องด้วย"
พอได้ยินอย่างนั้น โห้หลีเฉินก็ขมวดคิ้วเบาๆ
เขาเคยได้ยินเย้นหว่านพูดถึงอาการเก็บตัวของโห้หยูเซิงมานานแล้ว ไม่นึกเลยว่า เขาจะเก็บตัวจนถึงขั้นกินข้าวยังไม่ยอมออกจากห้อง
แบบนี้มันไม่ส่งผลดีกับการเจริญเติบโตและสภาพจิตใจของเขาเลย
โห้หลีเฉินไม่มีกะจิตกะใจที่จะใช้ตะเกียบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า "ผมขอไปหาพวกเขาหน่อยนะครับ"
กงจืออวีก็ไม่ได้แปลกใจอะไร และได้พยักหน้าไปอย่าอ่อนโยน "ไปเถอะ ให้เย้นหว่านพาเธอไป เดี๋ยวฉันจะให้พี่เลี้ยงเตรียมอาหารแล้วเอาขึ้นไปให้ พวกเธอจะได้กินข้าวไปพร้อมกับเด็กสองคนนั้นเลย"
โห้หลีเฉินเม้มปาก ไม่พูดอะไร จากนั้นก็บังคับรถเข็นออกจากห้องอาหารไป
เย้นหว่านก็รีบตามไปข้างๆ
หลังอยู่ด้วยกันมานาน เธอก็ถือว่ารู้จักโห้หลีเฉินได้ระดับหนึ่งแล้ว จากการแสดงออกของเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เขานั้นกำลังเก็บกดแค่ไหน
อาจเป็นเพราะเป็นห่วงโห้หยูเซิงอยู่
"อาการเก็บตัวของลูกมันสามารถรักษาให้หายได้ มันต้องค่อยๆ ใช้เวลา ตอนนี้เราต่างกลับมาแล้ว เราก็สามารถใช้เวลาอยู่กับหยูซิงมากขึ้น เดี๋ยวเขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง"
เย้นหว่านพูดออกมาเบาๆ มันเป็นการให้กำลังใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของความเป็นแม่
ถึงเธอจะอยู่กับโห้หยูเซิงมาโดยตลอด แต่เธอก็ไม่ต่างอะไรกับโห้หลีเฉินเลย เธอเองก็ติดค้างเด็กคนนี้ไว้มากเหมือนกัน
โห้หลีเฉินไม่ได้พูดอะไร รถเข็นได้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
แววตาของเขาเคร่งขรึมอย่างถึงที่สุด มองตรงไปข้างหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
หลังผ่านไปพักใหญ่ หลังอ้อมโถงทางเดินมาหลายครั้ง ทั้งสองถึงมาถึงหน้าห้องของโห้หยูเซิง
พอเปิดประตูออกนิดหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของแรบบิทที่เหมือนนกกระจอกดังมาจากด้านใน
"พี่คะ ทำไมพี่ถึงไม่กินแครอทหล่ะคะ?"
คำตอบที่ได้มาคือ ความเงียบที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ
จากนั้นไม่นาน เสียงของแรบบิทก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
"ปาปาเรียกหนูว่าแรบบิท มันก็หมายถึงกระต่ายน้อยที่น่ารัก ดังนั้นหนูจึงชอบกินแครอท พี่ลองชิมดูสิคะ หนูแบ่งของที่ชอบกินที่สุดให้พี่เลยนะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...