ป่ายฉีพูดอย่างเรียบเฉยว่า "ฉันรับรองได้ว่า หานจื่อต้องอยู่ที่นี่แน่นอน"
เย้นหว่านเลิกคิ้วขึ้น "นายเอาอะไรมารับรองกัน? หรือนายรับรู้ผ่านทางกระแสจิตหรือไง?"
ตั้งแต่ที่ป่ายฉีพูดแบบนี้ออกมา เย้นหว่านก็เชื่อทันที ที่เธอถามแบบนี้ ก็เพื่อคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดลง
ป่ายฉีมองค้อนเธอแล้วพูดอย่างโมโห
"กระแสจิตบ้าบออะไรกัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับหานจื่อสักหน่อย ที่ฉันติดเครื่องติดตามไว้บนตัวหานจื่อ เป็นเครื่องติดตามที่วิจัยขึ้นมาใหม่ล่าสุด ใส่เข้าไปในแผลของหานจื่อ แม้ว่าเครื่องอะไรก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ถ้าเครื่องติดตามนี้ออกจากตัวคนก็จะใช้การไม่ได้อีก"
ดังนั้นถ้าเครื่องติดตามนี้ออกจากตัวหานจื่อ ก็จะไม่มีทางพาพวกเขามาที่นี่ได้
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วหานจื่ออยู่ที่ไหนล่ะ?
นึกถึงแหล่งกบดานที่ฝู้ยวนสร้างขึ้นครั้งก่อน โห้หลีเฉินก็พูดเสียงทุ้มว่า: "หานจื่ออยู่ด้านล่างใต้ดิน"
เย้นหว่านมุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ "ไม่หรอกมั้ง? สร้างห้องปฏิบัติการใต้ดินในป่าทึบแบบนี้น่ะเหรอ? นี่เป็นเรื่องที่ลำบากมากเลยนะ ฝู้ยวนเก่งขนาดนั้นเชียว?"
ต่างกับการสร้างห้องปฏิบัติการใต้ดินในเมือง ในเมืองจะทำอะไรก็สะดวกสบายมาก การสร้างอะไรก็ง่ายไปหมด แต่ในป่าทึบนี้กลับแตกต่างออกไปเป็นโขเลย
อุปกรณ์การก่อสร้างต่างๆก็ยากที่จะนำเข้ามาได้ และยังเดินทางลำบากเพราะมีโคลนเกือบทุกที่ ไม่เหมาะกับการขุดและสร้างฐานไว้ใต้ดินเลย ไม่งั้นมีโอกาสสูงมากที่จะถล่มลงมา
นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้เลย
"เขามีความสามารถนี้ไหม ตอนกลางคืนพวกเราลงไปก็จะรู้เอง" โห้หลีเฉินพูดเสียงทุ้ม
ตอนกลางวันมีแสงแดดส่องสว่างจ้าเกินไป จะทำอะไรก็ไม่สะดวก อีกอย่างที่นี่ก็ยังเป็นป่าทึบอีกด้วย ไม่รู้ว่าจุดไหนมีกล้องวงจรปิดหรือคนคอยสังเกตการณ์หรือเปล่า มีเพียงลงมือตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะปลอดภัยที่สุด
ว่าแล้ว โห้หลีเฉินก็ปูเสื่อลงบนพื้น แล้วดึงเย้นหว่านลงมานั่งด้วยกัน
"เดินมาทั้งคืนแล้ว เธอพักผ่อนและกินอาหารเพิ่มแรงหน่อยเถอะ"
โห้หลีเฉินเอาอาหารออกมาจากกระเป๋า แม้จะเป็นการจัดกระเป๋าแบบทหาร แต่ส่วนของเย้นหว่านก็มีข้าวเปล่าและผักสดใหม่ อุ่นอัตโนมัติก็กินได้แล้ว
ส่วนคนอื่นก็กินคุกกี้ง่ายๆ ขนาดป่ายฉียังกินแค่นี้เลย
เย้นหว่านถือกล่องข้าวไว้ เธอรู้สึกเกรงใจทุกคน "ทุกคนกินข้าวกล่องนี้ด้วยกันไหม?"
"ไม่ต้องหรอก พวกเขาแข็งแรงจะตาย ทนได้"
โห้หลีเฉินปฏิเสธคำแนะนำของเย้นหว่านทันที เขาเทซุปอุ่นๆจากกระบอกฉนวนที่เตรียมมาให้เย้นหว่าน
เย้นหว่านเห็นอาหารของตัวเองแล้ว ก็แทบจะเหมือนกับการออกมาปิกนิกเลย
เธอหน้าแดงระเรื่อ "คุณโห้ ในกระเป๋าของนายคงไม่ได้มีแต่อาหารของฉันใช่ไหม?"
ครั้งนี้ต้องเดินทางใกล้ แถมยังมีอันตรายรออยู่ข้างหน้าด้วย จำเป็นต้องแบกของสำคัญหลายอย่าง ในกระเป๋าเย้นโม่หลินก็มีอุปกรณ์จำเป็นเต็มไปหมด
โห้หลีเฉินพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจ "อืม"
เย้นหว่านรู้สึกหมดคำจะพูด ในที่สุดก็ถึงรู้ว่า ทำไมป่ายฉีที่เป็นคนป่วยกระเป๋าเขาถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น
คงเป็นของที่โห้หลีเฉินแบ่งให้พวกเขาแบกสินะ
แม้โห้หลีเฉินจะพูดแบบนี้แต่ก็มีเหตุผลของเขา ผู้ชายพวกนี้แข็งแรงจริงๆ กินคุกกี้แห้งๆก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว อดทนได้แน่นอน
เธอก็เคยลำบากและเผชิญเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เธอสามารถกินคุกกี้กับทุกคนได้ แต่โห้หลีเฉินกลับรอบคอบมาก แน่นอนว่าเธอจะต้องสุขใจกับการดูแลของสามีตัวเอง
ความรู้สึกที่สู้ไปพร้อมกับโห้หลีเฉิน ทำให้เย้นหว่านรู้สึกมีความสุขและดีใจอย่างมาก
เธอดื่มซุปแล้วตักซุปป้อนให้โห้หลีเฉิน จากนั้นก็พูดเสียงอ่อนว่า "นายก็ดื่มด้วยสิ"
โห้หลีเฉินมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง เขาอ้าปากแล้วดื่มเข้าไป
ป่ายฉีที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้กุมท้องไว้ ทำท่าคลื่นไส้ "นี่ๆๆ หวานไปไหม ระวังหน่อยสิ ที่นี่ยังมีคนโสดอยู่เลยนะ! นี่มันผิดศีลธรรมมากเลยนะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...