นิ้วมือของเย้นโม่หลินตกลงไปบนชีพจรของกู้จื่อเฟย ถึงค่อยๆปล่อยมืออย่างช้าๆ
เขามองดูกู้จื่อเฟยด้วยแววตาที่เข้มขรึม และพูดเสียงทุ้มต่ำว่า
“ช่วงนี้ คุณผ่านมันมายังไง?”
กู้จื่อเฟยประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมจู่ๆถึงถามแบบนี้?หรือว่าร่างกายของเธอจะป่วยหนักเพราะเหตุนี้จริงๆ?
อารมณ์ของเธอหดหู่เล็กน้อย กัดฟัน พูดว่า
“ร่างกายฉันเป็นอะไรกันแน่ คุณพูดตรงๆเถอะ ฉันรับได้อยู่แล้ว”
ทีแรกคิดว่าเย้นหว่านตายไปแล้ว ถูกเย้นโม่หลินรังเกียจและไล่ออกไป เธอก็เคยแบกรับมาแล้ว กู้จื่อเฟยรู้สึกว่าตอนนี้เธอแข็งแกร่งไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ
ยังมีเรื่องอะไรที่เธอไม่สามารถแบกรับได้อีกล่ะ?
ต่อให้เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ก็ตาม............
เย้นโม่หลินมองดูสีหน้าที่นิ่งสงบของกู้จื่อเฟย สีหน้ายิ่งดูแย่ลง
เขาตะคอกเสียงดุดัน “กู้จื่อเฟย คุณไม่แคร์ร่างกายคุณขนาดนี้เลยหรอ?คุณแบกรับไหว คุณเคยคิดถึงคนรอบข้างของคุณบ้างมั้ย?”
ฮ่า?
คนรอบข้างเธอ?
กู้จื่อเฟยมองดูเย้นโม่หลินอย่างมึนตึ๊บ หลังจากสักพักมุมปากยกรอยยิ้มที่เศร้าโศกขึ้นมา
“คุณไม่พูด คนที่เป็นห่วงฉันก็จะไม่รู้”
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้เธออยู่ที่ต่างประเทศ รอบตัวล้วนเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน
เธอแทบจะถือได้ว่า ไม่มีคนรอบข้างเลยด้วยซ้ำ
เย้นโม่หลินพูดด้วยความเสียใจว่า “ผมไม่พูด?คุณไม่รู้สึกเลยหรอว่าผมก็...........”
พูดไปแค่ครึ่งทาง เสียงของเย้นโม่หลินกลับติดไว้ที่คอดื้อๆ
เขาอยากพูดอะไร?แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าประหลาดใจมากเลย
เขาก็เป็นห่วงกู้จื่อเฟยงั้นเหรอ?
ไม่ใช่หรอกมั้ง ความจริงเขาถือเป็นแค่ความรับผิดชอบและชดใช้ด้วยการยอมรับเธอ กับเธอก็ไม่ได้ถือว่าสนิทกัน ยิ่งไม่ใช่คนรอบข้างที่มีความสัมพันธ์แบบสนิทสนม
ถือว่าไม่ใช่จริงๆ
เพียงแต่ว่าช่างงุนงง ในใจเหมือนมีก้อนหินทับเอาไว้ ช่างหนักหน่วงทำให้เขาหายใจไม่คล่อง
กู้จื่อเฟยมองดูเย้นโม่หลินด้วยความสงสัย สีหน้าของเขาเข้มขรึมและสลับซับซ้อนอย่างมิอาจเข้าใจได้ เขาพูดแค่ครึ่งทาง หมายความว่าไงหล่ะเนี่ย?
เขา เป็นอะไรไป?
เผชิญกับสายตาที่มองมาด้วยความสงสัยของกู้จื่อเฟยเย้นโม่หลินทำหน้าตึงเครียดแบบทำตัวไม่ถูก
พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เสี่ยวหว่านเป็นน้องสาวผม ผมจะไม่ปิดบังเพราะคุณ และโกหกเธอเพราะเรื่องใดๆหรอกนะ”
เพราะฉะนั้น จะไม่พูดอะไร
สีหน้ากู้จื่อเฟยขาวซีดทันที และรู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน
คำพูดนี้ ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินและสนิทสนมมันชัดเจนเกินไปแล้วนะ
ในใจของเขาเน้นโม่หลิน กู้จื่อเฟยถือว่าไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นไม่เข้าตาเลยด้วยซ้ำ ที่เขาแคร์ และเป็นห่วงเป็นใย ก็มีแค่เย้นหว่าน และมีแค่เย้นหว่าน
แววตาของกู้จื่อเฟยมืดมนและตกลงมา ไม่มีเรี่ยวแรง จู่ๆรู้สึกว่า ต่อให้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ก็ยังไม่ทำให้อารมณ์ของเธอหดหู่และเสียใจขนาดนี้เลย
เย้นโม่หลินมองดูหน้าตาท่าทางกู้จื่อเฟยแบบนี้ กลับรู้สึกว่าโมโหมากยิ่งขึ้น
จู่ๆเขายื่นมือ จับไหล่ของกู้จื่อเฟยไว้ และบีบบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมา
เขาจ้องมองเธออย่างไม่คลาดสายตา พูดเหมือนกับออกคำสั่งว่า “กู้จื่อเฟย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ดูแลร่างกายของคุณให้ดีๆซะ อย่าอดมื้อกินมื้อ อย่าอดหลับอดนอน วันๆเอาแต่เศร้าโศกเสียใจจะไปช่วยกลบฝังบุปผา
มิเช่นนั้นร่างกายคุณแย่ลงเรื่อยๆ และล้มป่วย มีแต่จะทำให้ผม..........คนรอบตัวคุณเป็นห่วงและเสียใจ”
กู้จื่อเฟยมองดูหน้าตาที่หล่อเหลาตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ กำลังจ้องมองตัวเองด้วยสายตาที่ไม่คลาดเคลื่อน
คำพูดที่เธอได้ยิน ทำให้เธอมึนตึ๊บไปสักพัก ถึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง
นี่หมายความว่า คือ เธอไม่ได้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย และไม่ได้ป่วยหนัก แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อน อ่อนล้าเกินไป จึงทำให้ร่างกายแย่ลง?
แววตาของเธอเปล่งประกายแสง ไม่น่าเชื่อ “แค่เนี้ย?ฉันไม่ได้ป่วย?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...