ในขณะที่โอบกอดร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาว ก็สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นเฉพาะตัวจากร่างของเธอไปด้วยหัวใจของโห้หลีเฉินได้ถูกเติมเต็ม และเต็มอิ่มอย่างไร้ที่ติ
เขายิ่งอยากจะกอดเธออย่างนี้ตลอดไปและจูบเธอให้หนำใจ
แต่ทว่า สติสัมปชัญญะนั้นยังคงทำงานอยู่
เสียงที่ทุ่มต่ำของโห้หลีเฉินเจือความหยอกล้อและขี้เล่นเอาไว้ “พวกเขาคงใกล้จะตื่นแล้ว ถ้าออกมาเห็นเธอกำลังอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอกอย่างนี้ คงจะต้องเข้าใจผิดแน่”
เข้าใจผิด?
อิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอก?
เย้นหว่านตัวแข็งทื่อไปโดยฉับพลัน ความรู้สึกราวกับมีน้ำท่วมอยู่เต็มท้อง หลงเหลือเพียงความกลุ้มใจและจนปัญญา
รวมถึงความเขินอายด้วย
เธออิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมแขนไปแล้ว ด้วยความสัมพันธ์นี้ของพวกเขา เธอจะกอดเขาก็สมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ! เหมือนอิงแอบแนบชิดตรงไหนกัน?
เป็นเพราะความคิดไร้สาระในใจ เย้นหว่านก็เลยปล่อยโห้หลีเฉินอย่างว่องไว แล้วกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง เว้นระยะห่างให้ไกลจากเขา
โห้หลีเฉินเอื้อมมือไปบีบใบหน้าเล็กที่กำลังงอนอยู่ของเย้นหว่าน หัวเราะแล้วพูดว่า
“เด็กดี กลับไปแล้ว พอพวกเราได้อยู่ด้วยกันสองคน จะให้เธอกอดให้หนำใจเลย อยากจะทำอะไรกับฉันก็ตามสบายเลย”
“ใครเขาอยากจะทำอะไรกับนาย? ชิ!?”
เย้นหว่านเอามือของโห้หลีเฉินออกด้วยความโกรธและเขินอาย
โห้หลีเฉินไม่โกรธเลยสักนิด แล้วหัวเราะอย่างรักใคร่ว่า “เป็นฉันเองที่อยากจะทำอะไรกับเธอ”
คำสารภาพที่ตรงไปตรงมาและจริงใจนั้น ทำให้แก้มของเย้นหว่านแดงก่ำราวกับลูกแอปเปิลทันที
เธอทั้งโกรธทั้งอายไม่รู้จะเผชิญหน้ากับความไร้ยางอายของผู้ชายคนนี้อย่างไรดี
โห้หลีเฉินรู้สึกมีความสุขมาก มองดูสีหน้าท่าทางที่ทั้งโกรธทั้งโมโหของเย้นหว่าน สายตามีความอ่อนโยนที่หลั่งไหลมากมายนับไม่ถ้วน
เสียงทุ้มต่ำของเขาพูดว่า “คงจะหิวแล้วสินะ? เธอไปที่ห้องครัวเล็กแล้วต้มโจ๊กดื่มสักหน่อยดีไหม?”
เย้นหว่านถามไปโดยไม่รู้ตัวว่า “นายจะกินไหม?”
นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบรับตามสัญชาตญาณ ราวกับว่าขอเพียงเขาอยากจะดื่ม ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
จู่ ๆ โห้หลีเฉินก็พลันรู้สึกอบอุ่นในใจ แล้วพยักหน้าเบา ๆ “อืม”
“ฉันจะรีบไปต้มนะ”
เย้นหว่านลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น แต่กลับไม่ได้รีบร้อนออกไป แต่มองโห้หลีเฉินและพูดอย่างจริงจังว่า
“นายต้องนอนก่อนสักพัก”
ต่อให้จะรีบสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดได้ สายตาเองก็จะไม่ได้พักสักครู่เช่นกัน
เดิมทีโห้หลีเฉินอยากจะอาศัยตอนที่เย้นหว่านไปต้มโจ๊กแล้วทำงานต่อ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะยังไม่ลืมเรื่องที่จะให้เขานอนหลับ
ก็เลยรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง แต่กลับยิ่งรู้สึกรักใคร่มากขึ้น
โห้หลีเฉินพยักหน้า “ฉันจะนอนฟุบอยู่ตรงนี้สักพัก รอเธอไปต้มโจ๊กดีๆ ”
ถ้าจะต้มอย่างดีเลยละก็ ต้องใช้เวลาต้มสองสามชั่วโมง
ถึงแม้จะเทียบกับการนอนหลับให้เพียงพอแปดชั่วโมงไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าการไม่ได้นอนเลย
เย้นหว่านขบคิดสักพัก แล้วจึงตอบตกลง “ได้ ฉันจะไปต้มโจ๊ก ส่วนนายนอนหลับดี ๆ ล่ะ”
ในขณะที่พูดเธอถอดชุดคลุมออกมา แล้วพาดไว้บนร่างของโห้หลีเฮิน
ถ้าตอนนอนไม่สวมเสื้อผ้า จะหนาวเอาได้ง่าย ๆ
เมื่อเห็นการกระทำที่เอาใจใส่ของหญิงสาว สีหน้าของโห้หลีเฉินก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ราวกับไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงมีเย้นหว่านอยู่เคียงข้าง ทุกอย่างก็จะสวยงามเช่นนั้นได้
——
หิมะตกหนักปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ลอยละล่องราวกับจะไม่มีวันหยุดไปตลอดชีวิต
ภูเขาสูงตระหง่านเป็นชั้น ๆ รอบด้าน ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีทางเดิน แล้วก็ไม่มีทางออก
เย้นโม่หลินและป่ายฉีพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ มีกองหิมะเกาะสะสมอยู่บนร่างกาย พวกเขามีอาวุธครบมือและปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นแค่เพียงดวงตาคู่หนึ่งที่อยู่ภายใต้แว่นตากันลม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...