เมื่อวังจ่างหลินกลับถึงบ้าน ก็มีหนุ่มสาวสองคนเดินเข้ามาต้อนรับ
“พ่อครับ พ่อไปไหนมาหรือครับ ? วันนี้ช่วงบ่ายมีประชุมผู้บริหาร ทำไมจู่ ๆ พ่อถึงออกไปล่ะครับ ?”
ลูกชายคนโตวังสิ้ง พูดขึ้นด้วยความกังวล
เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขาได้รับโทรศัพท์หนึ่งสาย บอกว่าวังจ่างหลินทิ้งบรรดาผู้บริหารเอาไว้โดยไม่สนใจไยดี แล้วรีบตรงออกจากตึกบริษัทไปด้วยท่าทีแตกตื่น ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนโต จึงรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก
วังหลินฮุ่ยผู้เป็นลูกสาวก็เช่นกัน
“พ่อครับ ดูเหมือนหลายวันมานี้อารมณ์ของพ่อไม่ค่อยปกตินะครับ ตั้งแต่ตระกูลหลินล่มสลาย พ่อกลับไม่แสดงทีท่าดีใจออกมา แต่กลับมีท่าทีเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ ? หรือเป็นเพราะตระกูลหลี่ ?”
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกวังจ่างหลินส่งไปอยู่ที่อื่น เพราะกลัวว่าจะถูกตระกูลหลินคิดบัญชี แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินข่าวการล่มสลายของตระกูลหลิน ทำให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
แต่วังจ่างหลินผู้ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่คอยต่อสู้กับตระกูลหลินมาโดยตลอด ช่วงนี้กับดูเลื่อนลอย น่าจะเป็นผลมาจากตำแหน่งที่คิดจะเข้าไปแทนที่ตระกูลหลิน แต่กลับถูกตระกูลหลี่แย่งชิงไป เพราะพวกเขาเองก็คิดหาเหตุผลก็อื่นไม่ออก
“เฮ้อ เป็นเพราะตระกูลหลี่จริง ๆ”
วังจ่างหลินยอมรับความจริง
วังสิ้งเลิกคิ้ว แล้วพูดว่า : “พ่อครับ ตอนนี้ตระกูลหลี่กำลังเรืองอำนาจ เผลอๆ อาจยิ่งใหญ่กว่าตระกูลหลินในยุ่งที่รุ่งเรืองเสียอีก พวกเราเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรงจะเป็นการดีที่สุดนะครับ”
“แกกำลังล้อเล่นอะไรอยู่ หากพ่อไม่ต่อสู้กับตระกูลหลี่ อีกไม่กี่วันอาจจะมีตระกูลซุน ตระกูลจ้าวโผล่ออกมาแย่งชิงตำแหน่งของเราอีกก็เป็นได้”
วังจ่างหลินส่ายหัวด้วยความกลัดกลุ้ม “พวกแกไม่รู้หรอกว่าการที่ตระกูลหลินล่มสลายหมายความถึงสิ่งใด นั่นมันหมายถึงว่าฐานอำนาจในเมืองฉือ รวมไปถึงทั้งเมืองชิงชวนอันกว้างใหญ่ มีการล้างไพ่ เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด หากพวกเราไม่ต่อสู้แข่งขัน เกรงว่าวังซื่อกรุ๊ปก็อาจจะต้องสิ้นชื่อไปพร้อมกับประวัติศาสตร์หน้าเก่าด้วยก็ได้”
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร ? หรือจะบอกว่าการล่มสลายของตระกูลหลิน เมื่อเบื้องหลังอย่างอื่นซ่อนอยู่ ?”
วังสิ้งเป็นคนฉลาด เขาจึงคาดเดาความหมายบางอย่างจากคำพูดของพ่อได้
“พ่อคะ หรือว่าเมื่อครู่คนที่เรียกพ่อไปไม่ใช่ตระกูลหลี่ ?”
วังหลินฮุ่ยผงะไป
วังจ่างหลินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า : “เมื่อครู่คนที่เรียกพ่อไปคือผู้ทรงอิทธิพลแซ่เฉิน อีกทั้งยังถือว่าเป็นเถ้าแก่ของพ่ออีกด้วย”
“อะไรนะ !”
คำพูดนี้ทำให้สองพี่น้องวังซื่อกรุ๊ปรู้สึกตกใจอย่างมาก
ถึงแม้ตระกูลหลินจะล่มสลายและมีตระกูลหลี่เข้ามาแทนที่ แต่วังซื่อกรุ๊ปก็ยังเป็นยักษ์ใหญ่ในเมืองฉืออยู่ จะมีใครกล้ามาดูถูกกัน
แต่ตอนนี้วังจ่างหลินกลับพูดถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง มิหนำซ้ำยังเป็นเถ้าแก่ของพ่อพวกเขาอีก นี่เป็นเรื่องที่ยากเกินจะจินตนาการได้
“คุณชายแซ่เฉินท่านนี้ คือแกนนำที่โค่นล้มตระกูลหลินหรือครับ ?”
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่”
วังจ่างหลินตอบ “คุณเฉินคนนั้นเป็นคนทำลายตระกูลหลินให้ล่มสลายจริง แต่ในสายตาของเขา ตระกูลหลินก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไร วังซื่อกรุ๊ปของพวกเราและตระกูลหลี่ก็เช่นเดียวกัน
“ก่อนหน้านี้เถ้าแก่เคยเรียกหาพ่อ เขาต้องการให้พ่อควบรวมธุรกิจของตระกูลหลิน เพื่อเป็นการปูทางในเมืองฉือ รวมไปถึงทั้งเมืองชิงชวนให้กับเขา แต่ตระกูลหลี่กลับล่องไวกว่า ส่วนพ่อกลับตอบสนองได้ไม่ทันเวลา”
“เมื่อครู่ที่เถ้าแก่เรียกหาพ่อก็ด้วยเรื่องนี้ เขาต้องการควบรวมตระกูลหลินตระกูลหลี่ให้หมดโดยเร็วที่สุด”
“......”
พี่น้องวังซื่อกรุ๊ปทั้งสองคนหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็เข้าใจความหมายในสายตาของอีกฝ่าย
บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ !
เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลหลี่ในอดีต ถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่วังซื่อกรุ๊ปต้องคอยระมัดระวัง ยังไม่ต้องพูดถึงตระกูลหลี่ที่ควบรวมตระกูลหลินไปแล้วมากกว่าครึ่ง เมื่อเทียบกับตระกูลหลินในยุคที่เรืองอำนาจแล้ว ถือว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่านัก
หากคิดที่จะกลืนกินยักษ์ใหญ่เช่นนี้ ก็คงไม่ต่างจากเสือดาวที่อยากจะกลืนกินเสือโคร่ง ท้ายที่สุดแล้วคนที่จะต้องตายก็คือเสือดาว !
“พ่อคะ เรื่องนี้พวกเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้เด็ดขาดนะคะ อย่างมากพวกเราก็แค่วางมือ แล้วให้พวกเขาหาตระกูลอื่นมาทำแทน !”
วังหลินฮุ่ยเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ