“มู่หลาน ศาลาว่าการกรมกลาโหมไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปก็ได้!”
บนถนน เสิ่นหว่านอิ๋งที่อยู่ในรถม้าเลิกม่านขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามของนาง
แต่ในยามนี้ บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความจนปัญญา
สำหรับความห่วงใยของสหายสนิท นางซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
แต่หากการทำเช่นนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายของต้าฉู่ ก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อนางและตระกูลเสิ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้นางถูกพระราชทานสมรสให้ฉู่หนิง ยิ่งไม่อยากจะก่อเรื่องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
สิ่งที่นางต้องทำในตอนนี้คือการทำให้ฉู่หนิงเป็นฝ่ายถอนหมั้นเอง!
เฝิงมู่หลานที่ขี่ม้านำทางอยู่ด้านหน้ายกยิ้มมุมปาก ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความองอาจฉายแววเจ้าเล่ห์ “วางใจเถอะ พวกเราไม่ได้จะไปที่ศาลาว่าการกรมกลาโหม!”
“ทหารของกรมกลาโหมประจำการอยู่ที่ค่ายทหารทางใต้ของเมือง ฉู่หนิงต้องไปที่นั่นแน่ เจ้าอยากให้เขายกเลิกการแต่งงานมิใช่หรือ อีกเดี๋ยวก็ไปพูดกับเขาตรง ๆ เลยสิ”
เสิ่นหว่านอิ๋งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ปล่อยม่านที่เลิกขึ้นลง
เรื่องการแต่งงานนี้ จะต้องยกเลิกให้ได้
ไม่อาจยืดเยื้อ!
หากยืดเยื้อต่อไป รอจนกระทั่งงานแต่งงานเตรียมการพร้อมแล้ว นางจะไม่มีแม้แต่เหตุผลที่จะยกเลิกการแต่งงาน
แม้ว่าการไปค่ายทหารจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่เมื่อมีเฝิงมู่หลานนำทาง ก็ช่วยลดปัญหาไปได้มาก
ในฐานะบุตรสาวของรองเสนาบดีกรมกลาโหม เฝิงมู่หลานฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ในค่ายทหารแห่งนี้มีคนรู้จักมากมาย กระทั่งไม่ต้องแจ้งให้ทราบก็สามารถเข้าไปในค่ายได้
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนในชุดเกราะคนหนึ่งยิ้มพลางเดินเข้ามา “ไม่ทราบว่าคุณหนูเฝิงมาที่นี่ จะมาเลือกคู่ต่อสู้ประลองฝีมือหรือขอรับ?”
ปกติแล้วเฝิงมู่หลานมาที่นี่ก็เพื่อหาคนประลองยุทธ์ หัวหน้าหน่วยหลิ่วจึงคิดว่านางคงมาเหมือนเช่นเคย
แต่เฝิงมู่หลานกลับขมวดคิ้ว “หัวหน้าหน่วยหลิ่ว ฉู่หนิงอยู่ที่ไหน ข้ามาหาเขา!”
หัวหน้าหน่วยหลิ่วเหลือบมองไปทางด้านหลังของค่ายทหาร กระซิบเสียงเบา “จวิ้นอ๋องได้เรียกคนใต้บังคับบัญชาของบิดาท่านไปรวมตัวกัน บอกว่าฝ่าบาททรงย้ายคนเหล่านี้ไปแนวหน้า ตอนนี้กำลังอบรมสั่งสอนอยู่ทางนั้นขอรับ”
เฝิงมู่หลานแค่นเสียงเย็น ดวงตาองอาจคู่นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เจ้าคนน่ารังเกียจนี่ หว่านอิ๋ง ตอนนี้พวกเราไปหาเขากัน!”
พอดีเลย หนี้ใหม่หนี้เก่าจะได้ชำระพร้อมกันทีเดียว
หญิงสาวทั้งสองมาถึงด้านหลังค่าย ก็เห็นกองทหารกองหนึ่งยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่ไกล ๆ ด้านหน้าสุดมีคนสามคนยืนหันหลังให้พวกนาง
ในบรรดาสามคนนั้น คนที่อยู่ทางซ้ายและทางขวามีรูปร่างสูงใหญ่ คนหนึ่งถือดาบยาว อีกคนหนึ่งถือหอกยาว มีเพียงคนตรงกลางเท่านั้นที่รูปร่างผอมบาง
เฝิงมู่หลานเบ้ปาก “เจ้าคนที่อยู่ตรงกลางนั่นต้องเป็นฉู่หนิงแน่ หึ คิดจะควบคุมคนของท่านพ่อข้าอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
หว่านอิ๋ง พวกเรารอดูก่อน รอให้เขาเสียหน้า ให้เขาได้ตระหนักถึงความไร้ความสามารถของตัวเอง แล้วค่อยให้เขาเป็นฝ่ายยกเลิกการแต่งงานเองก็จะง่ายขึ้น”
คนกลุ่มนี้ติดตามบิดาของนางมานาน ไหนเลยจะยอมให้องค์ชายตัวตายตัวแทนที่ไม่มีทั้งอำนาจและบารมีอย่างฉู่หนิงมาควบคุม?
ในใจของเสิ่นหว่านอิ๋งสั่นไหว พยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับคำพูดของเฝิงมู่หลานไปโดยปริยาย
นางและตระกูลเสิ่น จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นต่อไปจะปักหลักอยู่ในเมืองหลวงได้ยาก
ต่อให้ต้องแต่งงาน นางก็ต้องแต่งให้กับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น
ฉู่หนิง แม้จะเป็นองค์ชาย แต่ก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้นางและตระกูลเสิ่นได้
เกิดมาในตระกูลเสิ่น ชะตาชีวิตนางมิอาจกำหนดเองได้ เรื่องสำคัญอย่างการแต่งงานจะผลีผลามเช่นนี้ไม่ได้
ระหว่างที่ครุ่นคิด ฉู่หนิงที่อยู่ไม่ไกลก็มองไปยังคนกว่าหกสิบคนที่รวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว บนใบหน้าเผยความพึงพอใจ
สมแล้วที่เป็นทหารชั้นยอดที่กรมกลาโหมคัดเลือกจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างกายหรือขวัญกำลังใจล้วนเหนือกว่าทหารทั่วไปมากนัก
กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ฉู่หนิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ใครคือหัวหน้าหน่วย?”
ชายฉกรรจ์ผู้มีหนวดเคราเต็มใบหน้าคนหนึ่งก้าวออกมาประสานมือคารวะ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยเลี่ยวหยวน เป็นนายกองใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าเฝิงกรมกลาโหมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่หนิงพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นนายกอง คิดว่าที่นี่คงจะมีคนร้อยคนแล้วสินะ? นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าถูกเกณฑ์ให้มาเป็นผู้คุ้มกันของข้า และจะต้องเดินทางไปยังแนวหน้าในไม่ช้า!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ต่างก็ซุบซิบกันในทันที
“อะไรนะ พวกเราถูกเกณฑ์ตัวหรือ?”
“ท่านอ๋อง พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ฉู่หนิงจ้องเลี่ยวหยวนเขม็ง กล่าวทีละคำอย่างช้า ๆ “ข้าพูดว่า พวกเจ้าเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว!”
“พรึ่บ~” กองทัพร้อยคนโกรธจัดขึ้นมาทันที พุ่งเข้าไปล้อมฉู่หนิงทั้งสามคนไว้ตรงกลาง
กวนอวิ๋นหมุนควงดาบยาวในมือ ตวาดเสียงดังลั่น “บังอาจ กล้าดีอย่างไรมาลบหลู่ท่านอ๋อง!”
เลี่ยวหยวนจ้องฉู่หนิงเขม็ง “หากท่านอ๋องถอนคำพูดเมื่อครู่กลับไป ข้าน้อยยินดีที่จะขอขมา!”
“มิเช่นนั้น สหายของข้าน้อยกลุ่มนี้คงจะไม่ยอมแน่!”
“เหตุใดข้าต้องถอนคำพูดเมื่อครู่ด้วย?”
ฉู่หนิงแค่นเสียงเย็น แรงกดดันทั่วร่างพลันเปลี่ยนไปในทันที ราวกับจักรพรรดิผู้สูงส่งที่กำลังมองลงมายังฝูงชน
ยื่นนิ้วชี้ข้างขวาออกไป พลางชี้ไปยังทุกคน แล้วกล่าวเสียงเย็น “พวกเจ้านับรวมกันไปเลยทุกคน ล้วนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว!
พวกเจ้าไม่อยากจะเป็นผู้คุ้มกันของข้า ก็เพียงเพราะกลัวที่จะไปแนวหน้าเท่านั้น พวกเจ้าใช้ข้ออ้างเช่นนี้เพื่อปกปิดความขี้ขลาดในใจ
เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่มือเปล่าแล้ว พวกเจ้าน่าละอายยิ่งกว่า
ในฐานะทหารของกรมกลาโหม ได้รับการปฏิบัติที่ดีที่สุด ได้รับสวัสดิการที่คนอื่นไม่สามารถได้รับ ในยามที่ต้าฉู่กำลังคับขัน พวกเจ้าไม่เพียงไม่คิดจะตอบแทนคุณแผ่นดิน แต่กลับยังคงรับเงินเดือนของต้าฉู่อย่างไร้ยางอาย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายวางอำนาจอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้!
ข้าแม้จะเป็นโอรสของเสด็จพ่อที่เกิดในหมู่สามัญชน แต่ก็รู้ว่าศึกครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความตายก็ยังยินดีที่จะเดินทางไปยังแนวหน้า
เมื่อเทียบกับข้า เมื่อเทียบกับเหล่าทหารที่กำลังสู้รบหลั่งเลือดอยู่ที่แนวหน้าแล้ว พวกเจ้าไม่ใช่พวกขี้ขลาดตาขาวแล้วจะเป็นอะไร?
ตอนนี้ ยังมีใครไม่ยอมรับคำพูดของข้าก็จงก้าวออกมา ข้าสามารถตัดสินใจให้เจ้าปลดประจำการกลับบ้าน ไปกอดที่ดินผืนเล็ก ๆ ของเจ้าอยู่อย่างสงบสุข!
หากใครยังมีเลือดของนักรบอยู่ ละอายใจกับคำพูดของตนเองเมื่อครู่ก็จงถอยกลับไป รอให้ข้าเตรียมการเรียบร้อยแล้วเดินทางไปยังแนวหน้าด้วยกัน เพื่อปกป้องบ้านเมือง!”
ณ สถานที่นั้น เงียบสงัดไร้เสียง
เหล่าทหารต่างพากันก้มหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
เมื่อเห็นฉากนี้ เสิ่นหว่านอิ๋งและเฝิงมู่หลานก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง พวกนางคาดไม่ถึงว่าองค์ชายตัวตายตัวแทนที่ใคร ๆ ก็ดูถูกผู้นี้ จะมีความมุ่งมั่นที่จะพลีชีพถึงเพียงนี้!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกยอดมังกรครองบัลลังก์ แผ่นดินนี้ข้าไม่เอา